5 สิ่งสำคัญก่อนการลงทุนในกองทุนรวม
สมัยนี้หากเราต้องการเก็บออมระยะยาว เพื่อสร้างความมั่งคั่งหรือเป็นเงินสะสมในยามเกษียณให้กับตัวเอง การฝากเงินไว้ในธนาคารอาจจะไม่ใช่ทางเลือกของเราอีกต่อไปเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆกลับมีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้หลายๆคนมองหาทางเลือกในการเก็บออมที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินในธนาคาร
กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการลงทุนที่มนุษย์เงินเดือนให้ความสนใจ เพราะมีผู้จัดการกองทุนรวมซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทำหน้าที่บริหารเงินลงทุนของเราให้เติบโต ไม่ต้องคอยติดตามราคาทรัพย์สินรายวัน ทำให้มีเวลาใช้ชีวิตการทำงานได้อย่างเต็มที ทั้งนี้ก่อนที่จะลงทุนในกองทุนรวม 5 สิ่งสำคัญที่เราจะต้องเตรียมตัว ได้แก่
1. ความรู้ในการลงทุน
การลงทุนไม่ใช่การฝากเงินในธนาคาร แต่เป็นการนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินต่างๆเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับเราตามระยะเวลาที่เราต้องการ แน่นอนว่าการลงทุนในกองทุนรวมก็ไม่ต่างจากการลงทุนในธุรกิจ เป็นกิจกรรมทางการเงินที่มีความเสี่ยง สามารถทำให้เงินลงทุนของเรากำไรได้หรือขาดทุนได้
การศึกษาหาความรู้ด้านการลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้เราได้รู้ว่าทรัพย์สินแต่ละประเภทสามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้อย่างไรและมีความเสี่ยงมากแค่ไหน ทำให้เราได้ลดความผิดพลาดจากความไม่รู้ในการตัดสินใจ นำไปสู่ผลลัพธ์ทางการลงทุนที่ดีได้ในระยะยาว
2. เป้าหมายในการลงทุน
เมื่อเราศึกษาความรู้ในการลงทุนให้เข้าใจแล้ว ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญก็คือการสร้างเป้าหมายในการลงทุน เราต้องกำหนดไว้ว่าเราจะลงทุนไปเพื่ออะไร มีเวลาในการลงทุนมากแค่ไหน และอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมประมาณเท่าไหร่ เพื่อเราจะได้นำเป้าหมายนี้ไปประเมินความเป็นไปได้และสร้างเป็นแผนในการลงทุน
ตัวอย่างแผนการลงทุนของมนุษย์เงินเดือน
- มีเงินออม 1 ล้านบาทก่อนอายุ 30 ปี
- หลังเกษียณตอนอายุ 60 ปี ต้องมีเงินก้อนจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อใช้ในยามเกษียณ
- วางแผนพาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างประเทศในอีก 2 ปีข้างหน้า
- เก็บเงินให้ลูกเรียนต่อปริญญาโทในต่างประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
จะเห็นได้ว่าหากเรามีเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดจน จะทำให้เรากำหนดแนวทางได้ว่า จะออมเงินเดือนละเท่าไหร่และต้องได้ผลตอบแทนที่คาดหวังในอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าไหร่
3. การจัดสรรเงินออมเพื่อลงทุน
การที่เราจะมีเงินลงทุนได้ อันดับแรกนั้นต้องมีเงินออมก่อน การสร้างเงินออมนั้นทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เรากำหนดเป้าหมายการออมในแต่ละเดือนและแยกเงินส่วนนี้ออกมาหลังจากรับเงินเดือน แล้วค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้จ่าย
ตัวอย่างเช่น หากเรามีเงินเดือน 30,000 บาท และมีเป้าหมายในการออมเงินเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- เก็บออม 10% เพื่อใช้ในการลงทุนในกองทุนรวม
- เก็บออม 20% เพื่อใช้เป็นเงินออมฉุกเฉินและเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
เมื่อเงินเดือนออก เราจะหักเงินจากรายได้จำนวน 30% หรือ 9,000 บาท เพื่อใช้ในการลงทุนจำนวน 3,000 บาท และ เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆอีก 6,000 บาท เป็นต้น
4. การจัดพอร์ตการลงทุน
อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าการลงทุนมีความเสี่ยง อาจจะเกิดความผิดพลาดและขาดทุนได้ เราจึงต้องวางแผนการจัดพอร์ตการลงทุนก่อนเปิดบัญชีหุ้นของเราให้ดี เพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้
- เพื่อกระจายความเสี่ยงของกองทุนที่เราลงทุน ไปในทรัพย์สินที่หลากหลาย เช่น กองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมอสังหารมทรัพย์
- เพื่อผสมพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภายใต้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง เช่น หากเราต้องการลงทุนให้ได้อัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 5.4% ต่อปี โดยสมมติว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนหุ้นคือ 7% และกองทุนตราสารหนี้คือ 3% ก็สามารถนำเงินมาลงในกองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ในสัดส่วน 60:40
5. ศึกษารายละเอียดของกองทุนรวม
ในส่วนสุดท้ายก่อนลงทุนในกองทุนรวม อย่าลืมศึกษารายละเอียดของกองทุนรวมจากหนังสือชี้ชวนการลงทุน โดยเราควรตรวจสอบข้อมูลต่างๆในกองทุนรวมได้แก่
- นโยบายความเสี่ยงของกองทุนรวม
- ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมา
- ประเภททรัพย์สินที่กองทุนเลือกลงทุน
- กระบวนการคัดเลือกทรัพย์สินที่มาลงทุน
- วิสัยทัศน์ผู้จัดการกองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการลงทุน
หลังจากที่เราคัดเลือกกองทุนที่เราชอบแล้วอย่าลืมเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆที่เป็นประเภทเดียวกันเพื่อให้เราสามารถเลือกกองทุนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยสรุป 5 สิ่งที่เราควรรู้ก่อนลงทุนในกองทุนรวมนั้น อย่าลืมศึกษาข้อมูล ตั้งเป้าหมายและวางแผนการลงทุน ตั้งแต่การเตรียมเงินมาลงทุน การจัดพอร์ตให้เหมาะสม และเลือกกองทุนที่ดีมาลงทุน หากทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้แล้วการลงทุนของเราจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
การนำเงินไปลงทุน เพื่อเป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ามีหลายรูปแบบ ทั้งการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม ที่มีให้เลือกลงทุนตั้งแต่ระดับความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงความเสี่ยงสูง หรือ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้รัฐบาล ที่มีความเสี่ยงต่ำในระดับใกล้เคียงเงินฝากธนาคาร แต่ได้อัตราดอกเบี้ยดีกว่า หรือตราสารหนี้ออกโดยบริษัทเอกชน ทีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาตามอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออก
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนในการลงทุน รูปแบบของดอกเบี้ย ในตราสารตามข้างต้น ส่วนใหญ่จะเป็นอัตราคงที่ และมีการจ่ายอย่างสม่ำเสมอ สนใจการลงทุนหรือเปิดบัญชีกองทุน สามารถติดต่อธนาคารกรุงไทยได้ทุกสาขา เพื่อช่วยให้การลงทุนของทุกคนเป็นเรื่องง่าย