
การบริหารความเสี่ยงและภาวะวิกฤต
ธนาคารให้ความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงและการควบคุมความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยธนาคารได้กำหนดกรอบโครงสร้างการบริหารความเสี่ยง นโยบาย รวมถึงแนวทางและคู่มือในการบริหารความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งได้นำแนวทางของ Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission (COSO) ที่เป็นกรอบโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management : ERM) ซึ่งเป็นกรอบบริหารความเสี่ยงองค์กรเชิงบูรณาการตามหลักสากล โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การบริหารความเสี่ยงองค์กร
แนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ (Emerging Risk)
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ซึ่งทั่วโลกยังคงอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังเพื่อลดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยมีการดำเนินการ เช่น การ Lockdown การปิดพรมแดนระหว่างประเทศ การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เป็นต้น จึงส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงและเกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัว (Recession) ค่อนข้างรุนแรงทั่วโลก จึงเป็นความท้าทายและความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ของธุรกิจธนาคาร จึงเป็นความท้าทายและเป็นความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) ธนาคารจึงมีแผนการบริหารความเสี่ยงด้าน Credit Risk และแผนการบริหารความเสี่ยงด้าน Strategic Risk ที่มุ่งไปสู่ Digital Banking ที่ยึดโยงกับโครงการและมาตรการของทางภาครัฐ โดยธนาคารมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
- ธนาคารดำเนินมาตรการและโครงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มตามนโยบายของภาครัฐ เช่น การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย การลดอัตราดอกเบี้ย การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น โดยธนาคารมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบตามระดับความเสี่ยง เพื่อที่ธนาคารจะได้ติดตามเฝ้าระวังและช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมตามระดับความเสี่ยงของลูกค้า รวมทั้งธนาคารมีการปรับกระบวนการภายในธนาคารเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
- ธนาคารได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้าน HR ที่สอดคล้องเพื่อปรับรูปแบบองค์กร พรัอมทั้งพัฒนาศักยภาพพนักงานโดยมีแผนการ Refunction และ Reskill ให้แก่พนักงานอย่างชัดเจน เพื่อรองรับทิศทางการทำธุรกิจของธนาคารในอนาคต
- ธนาคารได้จัดทำ Channel Rationalization Plan เพื่อพิจารณาปรับปรุงช่องทางการให้บริการของธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Branch Redesign ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบสาขาให้มีความเหมาะสมตามรูปแบบพฤติกรรมของลูกค้าในพื้นที่ การเพิ่ม Digital Advisor เพื่อให้คำแนะนำลูกค้าในการใช้บริการช่องทาง Digital มากขึ้น รวมถึงแผน Machine Optimization ในการบริหารจัดการเครื่อง ATM และ ADM เป็นต้น
- ธนาคารได้ปรับปรุง Application “Krungthai NEXT” ไปสู่ “New NEXT” ซึ่งเป็นการปรับปรุง User Experience (UX) และ User Interface (UI) เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น รวมทั้งรองรับ Features อื่น ๆ ที่อาจเพิ่มเติมได้อนาคต
- ธนาคารได้ปรับปรุง Application “เป๋าตัง” เพื่อเป็น Open Banking Platform รองรับ Features ที่จะเกิดขึ้นใหม่และการเป็นพันธมิตร (Partner) กับองค์กรอื่น ๆ ได้ในอนาคต โดยในปี 2563 มีการเพิ่ม Features ที่สนับสนุนนโยบายภาครัฐ เช่น วอลเล็ต สบม. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน Health Wallet และโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น
- ธนาคารขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์คู่ขนาน 2 Banking Model แบ่งเป็นรูปแบบเรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier) คือ การดำเนินธุรกิจหลักของธนาคาร และรูปแบบเรือเร็ว (Speed Boat) คือ การดำเนินการในรูปแบบการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ปัจจุบันธนาคารจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการเงิน หรือ Innovation Lab และจัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด โดยมุ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ มีลักษณะการทำงานแบบ Resilient & Agile ที่ยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน โดยมุ่งเน้นการคิดค้นนวัตกรรมที่เชื่อมโยง 5 Ecosystems ของธนาคาร
การบริหารความเสี่ยงในกระบวนการออกผลิตภัณฑ์
ธนาคารให้คณะกรรมการผลิตภัณฑ์ (Product Committee) ทำหน้าที่อนุมัติผลิตภัณฑ์ใหม่และทบทวนผลิตภัณฑ์ให้อยู่ภายใต้กรอบการบริหารจัดการความเสี่ยงและสอดคล้องกับนโยบายหรือแผนยุทธศาสตร์ของธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารได้กำหนดกระบวนการ Product Assessment เพื่อให้การออกและทบทวนผลิตภัณฑ์มีการพิจารณาความเสี่ยงและประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ อย่างรอบด้าน