เรื่องเด่น

ขายของออนไลน์ด้วยสินค้าแบรนด์เนมแบบไหน ให้ได้กำไรดี

อัพเดทวันที่ 21 ต.ค. 2563

นักลงทุนมีหลายสาย หลายแบบ ตามหลักการลงทุนที่ดีแล้ว เราควรจะลงทุนในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะมีข้อได้เปรียบ คือ จะมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นดีที่สุด นักลงทุนสายไลฟ์สไตล์ที่ชอบสินค้าแบรนด์เนมเป็นชีวิตจิตใจ และอาจกำลังเล็งๆ อยู่ว่าจะลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมดีหรือไม่ มาดูไปด้วยกัน... ว่าสินค้าแบรนด์เนมแบบไหนกัน ที่ถือเป็นไอเท็มที่น่าลงทุน และมีโอกาสทำกำไร

สินค้าแบรนด์เนมที่จะเข้าข่าย เข้ารอบ ถือเป็นการลงทุนได้ อย่างน้อยควรมีลักษณะดังนี้

  1. เป็นสินค้าที่มีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป มีตลาดรองรับ มีความต้องการซื้อขายอยู่เสมอ โดยสินค้าที่นิยมและซื้อขายกันคล่องตัวทั้งทางหน้าร้าน และออนไลน์มากที่สุด ก็คือ กระเป๋า นาฬิกาข้อมือ กล้อง เป็นต้น
  2. เป็นสินค้าที่มีมูลค่าในตัวเองจากวัสดุที่เป็นส่วนประกอบ เช่น ทำจากทองคำ เพชร และอัญมณีมีค่าอื่นๆ
  3. ไม่เสียหายง่าย ดูแลรักษาได้ง่าย เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น มูลค่าก็ต้องลดลงเรื่อยๆ แน่นอน
  4. เป็นสินค้าที่ไม่จัดโปรโมชั่นลดราคา จำหน่ายด้วยราคาเต็มเสมอ เพื่อตัดโอกาสขาดทุนจากการที่ราคาจำหน่ายของแบรนด์ลดลงไปเรื่อย ๆ

ส่วนลักษณะสินค้าที่มีโอกาสมูลค่าสูงขึ้นและทำกำไรได้จะมีลักษณะพิเศษเพิ่มขึ้นมาดังนี้

ขายของออนไลน์ที่มีโอกาสมูลค่าสูงขึ้นและทำกำไรได้

  1. เป็นรุ่น “คลาสสิค” เรียกได้ว่าเป็นรุ่น #ของมันต้องมี ที่ผู้ชื่นชอบแบรนด์เนมจะต้องมีไว้ในครอบครองให้ได้
  2. เป็นสินค้า “คอลเลคชั่น” ที่ผู้ชื่นชอบสามารถซื้อไว้สะสมได้
  3. เป็นสินค้าที่มีจำนวนจำกัด (Limited Edition) ไม่ผลิตอีกแล้ว เพราะจะทำให้คนยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ครอบครอง

คำถามสำคัญที่เราควรตอบให้ได้ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม คือ

  • แยกให้ได้ก่อนว่าเราจะซื้อมา “เพื่อใช้” หรือ “เพื่อลงทุน” เพราะหากซื้อมาเพื่อใช้ เราจะเลือกอันที่ถูกใจ แต่ถ้าซื้อมาเพื่อลงทุนจะต้องเลือกตามเงื่อนไขดังที่กล่าวเมื่อตอนต้นของบทความนี้
  • เรารู้ดีแค่ไหนเกี่ยวกับ รุ่น แบบ ความนิยม และสินค้าแบบไหนเป็นที่ต้องการ เป็นที่ตามหาของนักชอปและ นักสะสม
  • เรารู้ดีแค่ไหนเกี่ยวกับนโยบายของแบรนด์ สามารถทำให้สินค้าแบรนด์นั้น ๆ กลายเป็นสิ่งที่น่าลงทุนได้ไหม (เช่น จะไม่มีการลดราคา หรือผลิตเพิ่มในภายหลัง)
  • เรามีสภาพคล่องของเงินที่จะลงทุนกับสินค้าแบรนด์เนมแค่ไหน เพราะสินค้าบางอย่างก็ไม่ได้ราคาขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือไม่ได้มีสภาพคล่องในตลาดที่มีคนอยากซื้ออยู่ตลอดเวลา เราจะสามารถทิ้งเงินลงทุนไว้อยู่ในรูปของสินค้าได้นานแค่ไหน
  • การซื้อและขายของเราจะมาจากแหล่งไหนและไปสู่แหล่งไหน (เช่น ซื้อของจากหน้าช้อป นำของไปขายต่อทางออนไลน์) เรามีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีผู้ขายที่น่าเชื่อถือ มีตลาดไว้ปล่อยของได้อย่างง่ายดายเพียงใด ต้องศึกษาให้เข้าใจและแน่ใจ

ถูกแบรนด์ ถูกรุ่น มีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้น

แบรนด์เนมที่น่าลงทุน ต้องเป็นทั้งแบรนด์ดัง และเป็นรุ่นที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้และนักสะสมด้วย ราคาถึงจะพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ รวมถึงต้องรู้จักพิจารณาการเลือกซื้อสินค้าแต่ละชนิดให้ดี แยกเป็นประเภทสินค้าพร้อมตัวอย่างประกอบ ดังนี้

1. กระเป๋า

แม้จะลงทุนกับกระเป๋าแบรนด์ฮิตแล้ว ต้องเป็นรุ่นที่ฮิตด้วยถึงจะดี โดยเฉพาะที่ทำจากวัสดุที่เป็นหนังแท้ หรือหนังที่คงทนต่อการใช้งานจะยิ่งดีมาก โดยสองแบรนด์และรุ่นกระเป๋าที่เป็นที่นิยมสูงสุดของนักสะสมและมีสถิติการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างชัดเจน คือ Hermes Birkin Bag

ขายของออนไลน์ Hermes Birkin Bag

ขึ้นชื่อเรื่องราคาและคุณภาพของหนังที่ทนทานมาก ความพิเศษของกระเป๋า Hermes คือการจำกัดการผลิตต่อลอต โดยเฉพาะบางรุ่นบางแบบที่หนังหายาก โดยกระเป๋ารุ่น Birkin นี้มีรูปร่างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จุของได้เยอะ มีสายคล้องแขนที่เล็กกะทัดรัด และแข็งแรงทนทาน

โดยราคาขายในช็อปมีตั้งแต่ 600,000 บาท ไปจนถึง 5,000,000 บาท ส่วนราคาส่งต่อนั้นพุ่งสูงมากกว่าราคาเดิมเฉลี่ยปีละ 14.5% โดย Birkin Bag ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า มีมูลค่าสูงสุดตลอดกาล โดยรุ่นที่แพงที่สุดตอนนี้ราคาอยู่ที่ 15 ล้านบาท และหากใครอยากเป็นเจ้าของคงต้องรอสักหน่อย เพราะมีการจองคิวรอกระบวนการผลิตนานนับปี และมีการกำหนดจำนวนใบที่หมุนเวียนในตลาดกระเป๋าเพื่อรักษาระดับความต้องการของลูกค้าไว้ด้วย

ลองมาดูสถิติการเพิ่มขึ้นของราคากระเป๋า Hermes Birkin กัน

โดย Hermes Birkin มีราคาเพิ่มสูงขึ้นถึง  500% ในรอบ 35 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 1980 ราคาอยู่ที่ $2000 ขยับขึ้นเป็น $2750 ในปี 1990 และต่อมาในปี 2000 ราคาปรับขึ้นเป็น $4000 จนกระทั่งในปี 2014 ราคาอยู่ที่ $12000 และล่าสุดราคายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน และเมื่อเทียบการปรับตัวขึ้นของราคาจะพบว่าราคา Hermes Birkin นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 14.2% ในขณะที่ราคาหุ้น S&P500 และราคาซื้อขายทองคำปรับตัวขึ้นแบบผันผวนและต่ำกว่าในช่วงตั้งแต่ปี 1980-2016 ที่ผ่านมา

สถิติการเพิ่มขึ้นของราคาขายกระเป๋า Hermes Birkin

ที่มา: https://baghunter.com/pages/hermes-birkin-values-research-study-june-2017-update

Chanel Classic Flap

สถิติการเพิ่มขึ้นของราคาขายกระเป๋า Chanel Classic Flap

https://baghunter.com/pages/chanel-bag-values-research-study

กระเป๋ารุ่นนี้ถูกดัดแปลงจาก Chanel 2.55 เวอร์ชันออริจินอลที่ออกแบบโดยโคโค่ ชาแนล ในปี 1955 ซึ่งภายหลัง คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์บริเวณตัวล็อกกระเป๋าให้กลายเป็นตัวซีไขว้ ซึ่งก็คือโลโก้ของแบรนด์ Chanel นั่นเอง 

Chanel Classic Flap มีทั้งหมดสามรุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ รุ่นออริจินอล 2.55 ซึ่งทางแบรนด์จะขึ้นราคาขั้นต่ำปีละ 10% ปัจจุบันกระเป๋ารุ่นนี้มีราคาอยู่ที่ราว ๆ 169,000 บาท และราคาซื้อขายทั้งทางออนไลน์ และหน้าร้านมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ ราคาของกระเป๋ารุ่นนี้พุ่งสูงขึ้นกว่า 70% ตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งสามารถเอาชนะการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่ม S&P500 ได้ด้วยเช่นกัน

2. นาฬิกา

การลงทุนในนาฬิกาต้องมีทิศทางที่ชัดเจน หาข้อมูลมาดีพอ มีความสามารถในการชั่งใจระหว่างความชอบส่วนตัว กับความต้องการของตลาดในปัจจุบันและในอนาคต 

นาฬิกามือสองและนาฬิกาโบราณ ถือเป็นแหล่งทำกำไรที่ดี แต่จะต้องเป็นเรือนที่ใช่ และราคาที่เหมาะสมด้วย 

นาฬิกาก็คล้ายกับรถยนต์ คือ โดยทั่วไปแล้วราคาจะลดลงไปตามกาลเวลา โดยทันทีที่นาฬิกาใหม่ออกจากร้าน ราคาจะลดลงทันทีประมาณ 30-60% ของราคาที่ซื้อมา

ความแตกต่างของนักสะสม พ่อค้า และนักลงทุน

“นักสะสม” รู้จักประวัติความเป็นมาของนาฬิกาที่สนใจในเชิงลึก อาจให้ความสำคัญของราคาขายต่อน้อย แต่เน้นได้ของที่มีคุณค่าและหรือหายาก

“นักลงทุน” รู้จักประวัติความเป็นมาของนาฬิกาที่ครอบครองพอประมาณ ซื้อมาแล้วจะเก็บอย่างดีโดยจะซื้อของที่คนคิดว่ามีมูลค่าและหาโอกาสขายในภายหลัง

“พ่อค้า” รู้จักหลายยี่ห้อและเกือบทุกรุ่นที่ได้รับความนิยม รู้ราคาตลาด ให้ความสำคัญกับราคาขายต่อเป็นเรื่องหลัก ไม่ซื้อของใหม่และมีความยึดติดในสินทรัพย์ต่ำเพราะเป็นอาชีพ

อีกข้อหนึ่งที่นักสะสมจะต้องรู้และเตรียมใจ คือ นาฬิกาหรูจะมีต้นทุนในการดูแลสูงมาก โดยเฉพาะนาฬิกาประเภท Complication ซึ่งในบางรุ่นค่าดูแลรักษาก็ปาไปหลักแสนบาทแล้ว

“จะซื้อนาฬิกามือสองอย่างไร” ควรให้ความสำคัญกับ 6 ข้อนี้ คือ

  1. แบรนด์ ความซับซ้อน สภาพ และเรื่องราวของนาฬิกาเรือนนั้น
  2. ต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขาย คุณภาพ และเงื่อนไขของสินค้า
  3. กล่องและเอกสารรับประกันเป็นสิ่งสำคัญ
  4. การประมูลนาฬิกา (หากมีประสบการณ์)
  5. นาฬิกาที่มีราคาสูง ควรจะซื้อจากคนรู้จักหรือแหล่งที่เชื่อถือได้
  6. ถ้าซื้อ-ขายทางออนไลน์ ควรตรวจสอบ อ่านกระทู้ หรือข้อคิดเห็นที่น่าเชื่อถือ และเวลาซื้อต้องซื้อกับตัวบุคคล

ยิ่งเก็บนาน ราคายิ่งสูง

หากคิดลงทุนในนาฬิกาหรูเพียง 1 ปี อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะจากสถิติ ราคาขายจะยังไม่เพิ่มขึ้นสูงมากนัก แต่เมื่อผ่านไป 5-10 ปี ถึงจะเรียกได้ว่ามีผลตอบแทนที่คุ้มค่าน่าลงทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ

ตัวอย่างนาฬิกาแบรนด์และรุ่นที่เป็นที่นิยม Patek Philippe Nautilus 

นอกจากการรักษาเอกลักษณ์เดิมของแบรนด์ในเรื่องของความประณีต ความสวยงามของนาฬิกา และกลไก  ในปี 1976 Patek Phillipe ได้ร่วมมือกับนักออกแบบระดับตำนาน Gerald Genta ในการออกแบบนาฬิการุ่น “Nautilus” ซึ่งเป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์ออกนอกกรอบเดิมของ Patek Philippe โดยมีความเป็น Luxury Sport Watch จนได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปัจจุบัน

ในปัจจุบันคาดการณ์ว่า Patek Philippe รักษาปริมาณการผลิตนาฬิกาออกสู่ตลาดประมาณ 40,000 เรือนต่อปี ซึ่งสวนทางกับความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ว่ากันว่า Patek Philippe ใช้เวลาอย่างน้อย 9 เดือนถึง 2 ปีในการออกแบบนาฬิกา นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงความประณีตในการออกแบบนาฬิกาแต่ละเรือนของ Patek Philippe และทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี

(อ้างอิง: https://www.longtunman.com/3692)

3. กล้อง

กล้องที่เหมาะจะสะสมในฐานะนักลงทุนควรมีลักษณะที่มี “จำนวนการผลิตจำกัด” และมีลักษณะเป็น “กล้องวินเทจ” ที่รูปลักษณ์เป็นเอกลักษณ์ ที่ยิ่งเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ยิ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น จนกลายเป็นของสะสมที่เพียงแค่ตั้งอยู่ในตู้โชว์ก็เสมือนมีอาร์ตแกลเลอรีอยู่ที่บ้าน

ไลก้า (Leica)

แบรนด์ที่มีความ Old-fashioned ทั้งรูปลักษณ์และภาพถ่ายที่เหนือชั้นมีความขลังจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้ไลก้าเป็นแบรนด์ที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ซึ่งรุ่นที่คลาสสิกที่สุดก็คงไม่พ้นตระกูล M Series ที่ถูกขนานนามว่า รถถังแห่งเยอรมัน เพราะเกิดหลังจากสงครามโลกเพียงไม่กี่ปี  Leica M System ถือเป็นรุ่นในตำนานและคลาสสิกที่สุดของ Leica ซึ่งรุ่นปัจจุบันคือ M10 ราคา 269,800 บาท (เฉพาะ Body)

ไลก้าเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพของเลนส์ รูปลักษณ์ ชื่อเสียง และความพิถีพิถันจากนักถ่ายภาพจำนวนมาก ปัจจุบันผู้คนเริ่มสนใจไลก้ามากขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายชิ้นโปรดประจำตัวขึ้นมา และกลายเป็นของสะสมประจำบ้านอันน่าหลงไหลอีกหนึ่งชิ้นที่คนรักการถ่ายภาพต้องมีติดบ้านไว้ในตู้โชว์

Brand Heritage และ Product Craftsmanship เป็นหัวใจความสำเร็จของ “Leica” เนื่องจากความเป็นตำนานกล้องคลาสสิกระดับโลกที่มีอายุร่วมร้อยปี ที่มากับคุณภาพสินค้าที่ให้ประสิทธิภาพการใช้งานสูง และกระบวนการผลิตที่ยังคงยึดมั่นในแนวทาง Craftsman โดยในกล้อง 1 ตัว มีชิ้นส่วนไม่ต่ำกว่า 1,000 ชิ้น โดยในจำนวนนี้ กว่า 500 ชิ้นมาจากคนทำ

“เลนส์” ของ Leica ขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพสูง และมูลค่าราคาที่เพิ่มขึ้นตลอด อย่างเลนส์บางรุ่น ช่วงออกใหม่ ราคาขายอยู่ที่ 35,000 บาท แต่ผ่านไปเพียง 3 ปี ราคาขึ้นมาอยู่ที่ 135,000 บาท

นอกจากนี้ Leica เป็นแบรนด์ที่ไม่ได้ออกรุ่นใหม่ตลอดเวลา ทำให้คนซื้อไม่ต้องกลัวว่ากล้องที่มีนั้นจะ “ตกรุ่น” อีกทั้งบางรุ่นเมื่อเวลาผ่านไป นานวันเข้าราคายิ่งขึ้น หรือลดลงไม่มากนัก ทำให้คนที่ซื้อมองว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน

ขายของออนไลน์ Leica M Series

https://bit.ly/30MpaZj
https://www.brandbuffet.in.th/2018/02/leica-key-success-factors/

การซื้อแบรนด์เนมเพื่อลงทุนควรซื้อมือหนึ่ง หรือมือสอง

สินค้าแบรนด์เนมก็เหมือนสินค้าอื่น ๆ ที่ราคามือสองจะถูกกว่าราคามือหนึ่ง ในฐานะนักลงทุนจึงควรโฟกัสไปที่ตลาดมือสอง ยกเว้นกรณีออกจำหน่ายรุ่นดังกล่าวเป็นครั้งแรก การซื้อมือหนึ่งก็อาจจะเป็นราคาต้นทุนที่ถูกที่สุดได้

การซื้อสินค้ามือสอง ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทำการบ้านเป็นอย่างดี และใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเลือกสินค้าที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต ที่สำคัญควรซื้อกับผู้ขายที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น สามารถการันตีราคารับซื้อที่เป็นมาตรฐาน ทำกำไรได้เมื่อต้องการ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรลืมให้ความสำคัญก็คือตลาดที่รองรับในการขายทางออนไลน์ และหน้าร้าน เพราะหากลงทุนไว้ดี แต่ไม่มีที่ปล่อยต่อ ก็อาจมีมูลค่าเท่ากับศูนย์ ก่อนซื้อจึงควรดูเรื่องของการขายประกอบด้วย

ควรหาข้อมูลเรื่องการลงทุนแบรนด์เนมจากแหล่งไหน

สินค้าแต่ละชนิดมักจะมีเว็บที่เป็นตัวกลางจัดการในการซื้อหรือขายของทางออนไลน์อยู่ ผู้ที่สนใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลและราคาซื้อขายของสินค้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อสั่งสมประสบการณ์และเห็นแนวโน้มความต้องการของตลาด เพื่อที่จะได้เลือกซื้อสินค้ามาเก็บสะสมเพื่อขายแล้วได้กำไร

กำไร 3 แบบจากการลงทุนในแบรนด์เนม

เป้าหมายของการลงทุนทุกประเภท คือ การสร้าง “กำไร” ซึ่งกำไรจากการลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมนั้น มองได้จาก 3 มุมดังนี้

  1. กำไรทางใจ จากการเป็นเจ้าของหรือการใช้งานสินทรัพย์ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะตีค่าอย่างไร 
  2. กำไรจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์ มาจากส่วนต่างของราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา ตัวเลขกำไรนี้จะเห็นได้ตั้งแต่ยังไม่ขายออกไป
  3. กำไรจากการขายสินทรัพย์ คือ ผลลัพธ์จาก (ราคาที่ขายได้ - ราคาซื้อ - ค่าดูแลรักษา) แล้วพิจารณามูลค่าเงินตามเวลา (time value of money) ประกอบก็จะได้กำไรจากการลงทุนที่แท้จริง

สำหรับนักลงทุนสายไลฟ์สไตล์ที่กำลังลังเลว่าจะลงทุนกับสินค้าแบรนด์เนมดีหรือไม่ หวังว่าข้อควรรู้ดี ๆ เกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนมที่นำมาฝากกันในวันนี้ จะเป็นตัวช่วยที่ดีให้คุณก่อนตัดสินใจลงทุนได้