เรียนรู้การเงิน

เมื่อตลาดหุ้นกำลังดิ่งลง นักลงทุนควรตั้งรับและตัดสินใจจากอะไร

อัพเดทวันที่ 25 พ.ค. 2563

จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าหรือ โควิด-19 ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีบางวันปรับตัวลดลงถึง -10% จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker ในวันที่ 12 และ 13 มีนาคมที่ผ่านมา และที่ผ่านมามีบางช่วงเวลาที่ดัชนีลดลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด (อ้างอิง หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13 มีนาคม 2563) ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นมาบ้างแล้วในช่วงเดือนพ.ค.นี้ นักลงทุนหลายๆคนยังคงตั้งคำถามว่า หุ้นยังปรับตัวลงได้หรือไม่ และยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจในการลงทุนกันอย่างไร

ในหลักการลงทุนที่นักลงทุนควรจะต้องมาทบทวนและพิจารณานั้น หลักๆประกอบด้วย

  • พื้นฐานของกิจการ
  • ราคาหุ้น
พื้นฐานของกิจการ

ต้องยอมรับว่าในช่วงที่เกิดโรคระบาดนั้นทุกธุรกิจจะได้รับผลกระทบทั้งหมด เช่น ไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้ชั่วคราว หรือแม้จะเปิดดำเนินกิจการได้ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัด ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของกิจการลดลง ซึ่งหากลงทุนในบริษัทที่มีการจัดการด้านการเงินที่ดี มีหนี้น้อย มีเงินสดสำรองมาก มีแผนในการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมทำให้บริษัทอยู่รอดได้มากกว่า บริษัทอื่นๆที่มีความเสี่ยงทางการเงินได้มากกว่า

ในช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่นักลงทุนจะต้องวิเคราะห์และตัดสินใจว่าหุ้นไหนที่ควรจะเก็บไว้ หุ้นไหนที่ควรจะถูกปรับออกจากพอร์ตการลงทุนเพราะหากลงทุนในหุ้นที่ไม่สามารถทนต่อวิกฤตได้ ยิ่งเหตุการณ์ยึดเยื้อก็ยิ่งเกิดความเสี่ยงต่อมูลค่าพอร์ตการลงทุนได้

ราคาหุ้น

โดยปกติแล้วราคาหุ้นจะสะท้อนความคาดหวังของตลาดและตัวหุ้นนั้นๆไว้ เช่น เมื่อนักลงทุนมองว่าผลกระทบของ โควิด-19 สูงมากก็จะขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่อง จนมูลค่าหุ้นลดต่ำลง ซึ่งหากนักลงทุนมองในแง่ของราคาเพียงอย่างเดียวก็จะเกิดความไม่แน่ใจว่าควรซื้อเพิ่มเพราะราคาถูกแล้วหรือควรขายออกไปก่อนที่จะลงหนักกว่านี้

การตัดสินใจในการซื้อหรือขายนั้นจึงควรมองในแง่ของความคุ้มค่าในการลงทุน คล้ายๆแนวคิดว่า ซื้อหุ้นมาในราคานี้จะได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างไรหรือได้เงินปันผลมากขึ้นขนาดไหน เช่น การเปรียบเทียบระหว่างราคาที่ลดลงกับอัตราการทำกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) หรือการเปรียบเทียบระหว่างราคาที่ลดลงกับอัตราเงินปันผลที่ (Dividend Yield)

หากนักลงทุนประเมินได้ว่า ราคาหุ้นลดลงจนเกิดส่วนลดมาก แต่หุ้นยังมีความแข็งแกร่งที่จะกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีหลักสถานการณ์ได้ผ่านพ้นไป ก็สามาถใช้โอกาสในช่วงนี้ในการซื้อหุ้นเพิ่มได้ ในทางตรงข้ามนักลงทุนก็ไม่ควรจะซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงในการดำเนินกิจการในระยะยาวแม้ราคาหุ้นจะลดลงต่ำมากแค่ไหนก็ตาม

โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่า หากนักลงทุนเข้าพื้นฐานกิจการ เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น และประเมินได้ว่าในพื้นฐานและราคาในปัจจุบันของหุ้นที่ถืออยู่มีความน่าสนใจที่จะซื้อหรือควรจะขายออก ก็จะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์รูปแบบนี้

อย่างไรก็ตามนอกจากการลงทุนจากหุ้นด้วยตัวเองแล้วก็ยังสามารถเปิดบัญชีหุ้น กับบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนและข้อมูลหุ้นต่างๆ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแลก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยนักลงทุนได้