สินเชื่อคืออะไร รู้จักกับสินเชื่อ ก่อนตัดสินใจกู้เงิน
ในยุคที่ความจำเป็นทางการเงินอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน การลงทุน การศึกษาต่อ หรือแม้แต่การจัดการค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน "การกู้เงิน" หรือ "การขอสินเชื่อ" จึงกลายเป็นทางเลือกสำคัญที่หลายคนหันมาใช้ เพื่อเติมเต็มเป้าหมายในชีวิตหรือเสริมสภาพคล่องทางการเงิน
แต่ก่อนจะตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อธุรกิจ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจว่า “สินเชื่อ คืออะไร” มีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร และข้อควรรู้ใดบ้างที่ผู้กู้ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การขอสินเชื่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และไม่กลายเป็นภาระในระยะยาว
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสินเชื่อในหลากหลายแง่มุม ทั้งประเภทของสินเชื่อ หลักเกณฑ์ในการพิจารณา ไปจนถึงคำแนะนำและข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนตัดสินใจกู้เงิน เพื่อให้คุณพร้อมใช้สินเชื่อเป็นเครื่องมือทางการเงินได้อย่างมั่นใจและมีสติ
สินเชื่อคืออะไร?
“สินเชื่อ” คือกระบวนการที่สถาบันการเงินหรือบุคคลหนึ่งอนุมัติให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นนำเงินไปใช้จ่ายหรือลงทุนก่อน โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องชำระคืนในระยะเวลาที่กำหนดพร้อมดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้ สินเชื่อถือเป็นรูปแบบของการให้เครดิต (Credit) ซึ่งอาจอยู่ในรูปของเงินสด วงเงิน หรือทรัพย์สินอื่นๆ ตามข้อตกลงระหว่างผู้ให้กู้และผู้กู้
วัตถุประสงค์หลักของสินเชื่อคือการช่วยให้ผู้กู้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การซื้อที่อยู่อาศัย การศึกษาต่อ หรือการขยายธุรกิจ ซึ่งหากต้องรอเก็บเงินครบก่อน อาจไม่สามารถดำเนินการได้ในเวลาที่ต้องการประเภทสินเชื่อตามลักษณะผู้ขอสินเชื่อ
ในโลกของการเงินและธนาคาร สินเชื่อไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว แต่มีความหลากหลายตามวัตถุประสงค์ของผู้กู้และลักษณะของผู้ขอสินเชื่อ ซึ่งสถาบันการเงินเป็นผู้จะพิจารณาเงื่อนไข ข้อกำหนด และความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม
โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถจำแนกประเภทของสินเชื่อตามลักษณะของผู้ขอสินเชื่อออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อนิติบุคคล ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์การใช้งานและเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจง ดังนี้
สินเชื่อส่วนบุคคล
สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) คือ ประเภทสินเชื่อที่มุ่งเน้นการให้บริการแก่บุคคลธรรมดา เพื่อใช้จ่ายในด้านต่างๆ ตามความจำเป็นหรือความต้องการของแต่ละคน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ค่าเดินทางท่องเที่ยว
จุดเด่นของสินเชื่อประเภทนี้คือความสะดวกในการขอสินเชื่อ โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และสามารถผ่อนชำระเป็นรายงวดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนเร่งด่วน และมีความสามารถในการชำระคืนอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ผู้ขอสินเชื่อส่วนบุคคลควรพิจารณาอัตราดอกเบี้ยอย่างรอบคอบ เนื่องจากสินเชื่อประเภทนี้มักมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักประกัน
สินเชื่อธุรกิจ
สินเชื่อธุรกิจ (Business Loan) คือ สินเชื่อที่มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของกิจการในการดำเนินธุรกิจ เช่น ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซื้อวัตถุดิบ ขยายกิจการ หรือเสริมสภาพคล่องในช่วงเวลาจำเป็น สินเชื่อประเภทนี้ สถาบันการเงินมักพิจารณาความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ประวัติการเงินของกิจการ รวมถึงแผนธุรกิจในอนาคต เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งอาจมีทั้งแบบที่ต้องมีหลักประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักร และแบบไม่มีหลักประกันสำหรับผู้ที่มีความน่าเชื่อถือทางการเงิน
สินเชื่อนิติบุคคล
สินเชื่อนิติบุคคล (Corporate Loan) เป็นสินเชื่อที่มอบให้กับบริษัท องค์กร หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น การลงทุนในโครงการ การขยายโรงงาน การนำเข้าเครื่องจักร หรือการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
สินเชื่อประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับวงเงินขนาดใหญ่ และมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงในเชิงลึกทั้งในด้านการเงิน การดำเนินงาน และการบริหารจัดการ ผู้ขอสินเชื่อจำเป็นต้องมีเอกสารประกอบครบถ้วน เช่น งบการเงิน รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น และแผนธุรกิจอย่างละเอียด เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีมูลค่าสูงและความเสี่ยงมาก สถาบันการเงินจึงมักกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวด ทั้งในแง่ของหลักประกัน การค้ำประกัน และการติดตามผลการใช้เงินกู้
ประเภทสินเชื่อตามระยะเวลา
นอกจากประเภทของสินเชื่อตามลักษณะของผู้ขอสินเชื่อแล้ว ในส่วนของระยะเวลาในการชำระคืนเงินกู้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการจำแนกประเภทของสินเชื่อ โดยระยะเวลาที่ต่างกันย่อมสะท้อนถึงวัตถุประสงค์ในการใช้เงินทุน ความเสี่ยง และภาระในการผ่อนชำระที่ต่างกันด้วย โดยทั่วไป สินเชื่อสามารถแบ่งตามระยะเวลาออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สินเชื่อระยะสั้น สินเชื่อระยะกลาง และสินเชื่อระยะยาว ซึ่งแต่ละประเภทเหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกันดังนี้
สินเชื่อระยะสั้น
สินเชื่อระยะสั้น (Short-term Loan) คือ สินเชื่อที่มีระยะเวลาการชำระคืนไม่เกิน 1 ปี วัตถุประสงค์ของสินเชื่อประเภทนี้มักใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบ ค่าสินค้าในระบบเชื่อ หรือค่าใช้จ่ายเร่งด่วนชั่วคราว สินเชื่อประเภทนี้เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องการเงินทุนแบบเร่งด่วนและสามารถคืนได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผู้กู้ควรมีการบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการผิดนัดชำระหนี้
สินเชื่อระยะกลาง
สินเชื่อระยะกลาง (Medium-term Loan) คือ สินเชื่อที่มีระยะเวลาการชำระคืนตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี มักถูกใช้ในการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหรือการพัฒนาโครงการระยะกลาง เช่น การซื้อเครื่องจักร รถยนต์ หรืออุปกรณ์ทางธุรกิจต่างๆ ข้อได้เปรียบของสินเชื่อระยะกลางคือ ผู้กู้สามารถทยอยชำระเงินคืนได้ในระยะเวลาที่เหมาะสมโดยไม่ก่อให้เกิดภาระหนักเกินไปต่อการดำเนินธุรกิจหรือการเงินส่วนตัว อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินจะพิจารณาความมั่นคงของรายได้และศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากเงินกู้เป็นหลัก
สินเชื่อระยะยาว
สินเชื่อระยะยาว (Long-term Loan) คือ สินเชื่อที่มีระยะเวลาการชำระคืนมากกว่า 5 ปีขึ้นไป เหมาะสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการระยะเวลาในการคืนทุนที่ยาวนาน เช่น การก่อสร้างบ้าน การซื้อที่ดิน การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ หรือโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยวงเงินและระยะเวลาที่ยาวนาน สินเชื่อประเภทนี้มักต้องใช้หลักประกันที่มีมูลค่าสูง และมีการตรวจสอบประวัติทางการเงินอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าผู้กู้มีความสามารถในการชำระหนี้ระยะยาวได้อย่างสม่ำเสมอ
ประเภทสินเชื่อตามหลักประกัน
การพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่จุดประสงค์และระยะเวลาเท่านั้น แต่ยังพิจารณาจาก "หลักประกัน" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงของทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว สินเชื่อสามารถแบ่งตามลักษณะของหลักประกันออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สินเชื่อมีหลักประกัน และสินเชื่อไม่มีหลักประกัน ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
สินเชื่อมีหลักประกัน
สินเชื่อมีหลักประกัน (Secured Loan) คือ สินเชื่อที่ผู้กู้จำเป็นต้องนำทรัพย์สินที่มีมูลค่ามาค้ำประกันการกู้เงิน เช่น บ้าน ที่ดิน อาคารพาณิชย์ หรือรถยนต์ เพื่อให้สถาบันการเงินมั่นใจว่าหากเกิดกรณีผิดนัดชำระหนี้ จะสามารถยึดทรัพย์สินดังกล่าวมาชดเชยเงินกู้ได้
ด้วยความเสี่ยงที่น้อยลงสำหรับผู้ให้กู้ สินเชื่อประเภทนี้จึงมักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า และสามารถขอวงเงินที่สูงขึ้นได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน และต้องการเงินกู้จำนวนมากในระยะยาว เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่
ข้อควรระวังคือ หากไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไข ทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกันอาจถูกยึดขายทอดตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและเครดิตของผู้กู้ในระยะยาว
สินเชื่อไม่มีหลักประกัน
สินเชื่อไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) คือ สินเชื่อที่ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินค้ำประกัน ผู้ขอสินเชื่อสามารถใช้เอกสารแสดงรายได้ หรือบุคคลค้ำประกันเป็นหลักในการยื่นขอสินเชื่อได้เลย และเนื่องจากสถาบันการเงินต้องรับความเสี่ยงสูงขึ้นหากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ สินเชื่อประเภทนี้จึงมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า และวงเงินที่ให้มักจะไม่สูงเท่ากับสินเชื่อที่มีหลักประกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินเร่งด่วน ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรกดเงินสด ผู้กู้ควรมีรายได้ประจำที่มั่นคง หรือมีประวัติเครดิตที่ดีเพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ และควรชำระคืนตรงเวลาเพื่อไม่ให้เกิดหนี้สะสมที่ยากต่อการจัดการ
สินเชื่อสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ
ในบางกรณี สินเชื่อไม่ได้จำแนกเพียงตามระยะเวลา หรือประเภทของผู้ขอเท่านั้น แต่ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ "วัตถุประสงค์เฉพาะทาง" ซึ่งมีลักษณะการใช้งาน และเงื่อนไขเฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านวงเงิน อัตราดอกเบี้ย หลักประกัน และเกณฑ์การอนุมัติ ต่อไปนี้คือตัวอย่างของสินเชื่อที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์เฉพาะด้านที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน
สินเชื่อบ้านใหม่ และบ้านมือสอง
สินเชื่อบ้าน (Housing Loan) เป็นสินเชื่อที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่จากโครงการ หรือบ้านมือสอง โดยทั่วไปจะเป็นสินเชื่อระยะยาวที่ต้องใช้หลักทรัพย์ เช่น ตัวบ้านและที่ดิน เป็นหลักประกัน
สถาบันการเงินมักให้วงเงินสูงถึง 80-100% ของราคาประเมิน และมีระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 30 ปีหรือมากกว่านั้น โดยอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรกอาจต่ำตามโปรโมชั่น และจะปรับขึ้นตามอัตราตลาดในช่วงปีถัดไป ผู้กู้ควรเปรียบเทียบเงื่อนไขจากหลายธนาคาร และพิจารณาภาระผ่อนต่อเดือนให้เหมาะสมกับรายได้
สินเชื่อรถยนต์มือหนึ่ง และมือสอง
สินเชื่อรถยนต์ (Car Loan) เป็นสินเชื่อเพื่อการซื้อรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง โดยใช้ตัวรถที่ซื้อมาเป็นหลักประกันการกู้เงิน (สินเชื่อแบบมีหลักประกัน) ในกรณีรถใหม่ ผู้กู้มักได้รับวงเงินสูงในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่ารถมือสอง และมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยืดหยุ่น ตั้งแต่ 4 - 7 ปี ส่วนในกรณีรถมือสอง วงเงินอาจน้อยกว่าและดอกเบี้ยสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากรถมีมูลค่าลดลงตามสภาพ
สินเชื่อประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถยนต์แต่ไม่สามารถชำระเงินสดเต็มจำนวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพนักงานประจำหรือผู้ประกอบการรายย่อย
บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด
แม้จะไม่ใช่ “สินเชื่อเงินก้อน” แบบทั่วไป แต่บัตรเครดิต (Credit Card) และบัตรกดเงินสด (Cash Card) ก็ถือเป็นสินเชื่อรูปแบบหนึ่งที่อนุมัติวงเงินไว้ล่วงหน้าให้ผู้ถือบัตรสามารถใช้จ่ายหรือเบิกถอนเงินสดได้ตามวงเงินที่กำหนด บัตรเครดิตเน้นการใช้จ่ายผ่านร้านค้า หรือช่องทางออนไลน์ และสามารถผ่อนชำระยอดใช้จ่ายได้บางส่วน ในขณะที่บัตรกดเงินสดสามารถเบิกถอนเงินสดออกมาใช้ได้ทันทีผ่านตู้ ATM โดยไม่ต้องแจ้งธนาคารล่วงหน้า
ขั้นตอนและเงื่อนไขในการขอสินเชื่อ
การขอสินเชื่อไม่ใช่เพียงแค่การกรอกแบบฟอร์มและรอรับเงินเท่านั้น แต่ยังต้องผ่านกระบวนการประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบคุณสมบัติ และพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบด้านและรอบคอบจากสถาบันการเงิน ดังนั้นหากผู้ขอสินเชื่อที่เตรียมตัวอย่างรอบคอบ ย่อมเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ และได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า และต่อไปนี้คือรายละเอียดสำคัญที่ควรรู้ก่อนเริ่มยื่นขอสินเชื่อ
คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ขอสินเชื่อ
- มีสัญชาติไทย และอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
- มีรายได้ประจำ หรือหลักฐานแสดงความสามารถในการชำระหนี้
- ไม่มีประวัติค้างชำระหนี้รุนแรง หรือติดเครดิตบูโร
- มีประวัติการทำงาน หรือประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง
เอกสารประกอบที่ต้องเตรียม
- สำเนาบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองรายได้
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง(Statement) 3 - 6 เดือน
- เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (กรณีมีหลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน, เล่มทะเบียนรถ)
- เอกสารประกอบธุรกิจ (กรณีผู้ประกอบการ) เช่น หนังสือรับรองบริษัท, งบการเงิน
วิธีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
สถาบันการเงินจะใช้หลักเกณฑ์หลายด้านในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เช่น
- ความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Ability) เปรียบเทียบรายได้กับภาระหนี้สิน
- ประวัติเครดิต (Credit History) ตรวจสอบจากเครดิตบูโร หากมีประวัติค้างชำระ จะส่งผลต่อโอกาสอนุมัติ
- มูลค่าหลักประกัน (ถ้ามี) ประเมินราคาทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกันว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
- เสถียรภาพรายได้ ความมั่นคงของอาชีพ และรายได้ต่อเนื่องมีผลต่อการตัดสินใจ
หากผ่านการพิจารณา สถาบันการเงินจะเสนอเงื่อนไข เช่น วงเงิน ดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อน และให้ผู้ขอกู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ต่อไป
คำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวขอสินเชื่อ
- ตรวจสอบเครดิตของตนเองล่วงหน้า เพื่อทราบสถานะเครดิตและแก้ไขปัญหา
- รวบรวมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อป้องกันการล่าช้าในการพิจารณา
- วางแผนการเงินก่อนขอกู้ คำนวณความสามารถในการผ่อนชำระอย่างรอบคอบ
- เปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายสถาบันการเงิน เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมและดอกเบี้ยต่ำที่สุด
- อย่ากู้เกินความจำเป็น เพื่อไม่ให้เป็นภาระระยะยาวที่กระทบกับชีวิตประจำวัน
คำแนะนำและข้อควรระวังในการกู้สินเชื่อ
แม้ว่าสินเชื่อจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้เร็วขึ้น เช่น การมีบ้าน มีรถ หรือขยายกิจการ แต่หากขาดการวางแผนและความระมัดระวัง ก็อาจกลายเป็นภาระทางการเงินในระยะยาว ดังนั้น การเข้าใจในรายละเอียดของสินเชื่อ และรู้เท่าทันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจกู้เงิน
การคำนวณดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ดอกเบี้ยของสินเชื่อเป็นค่าใช้จ่ายหลักที่ผู้กู้ต้องจ่ายนอกเหนือจากเงินต้น โดยทั่วไปจะมี 2 รูปแบบหลัก
- ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) คำนวณจากยอดเงินกู้ทั้งหมด ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลากู้
- ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) คำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด ซึ่งประหยัดกว่าในระยะยาว
นอกจากนี้ยังมี ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้กู้ควรตรวจสอบให้รอบคอบ เช่น
- ค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อ เป็นค่าดำเนินการที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเรียกเก็บเพื่อจัดเตรียมและดำเนินเรื่องเอกสาร การอนุมัติ และการปล่อยกู้ โดยมักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของวงเงินกู้
- ค่าเบี้ยประกันชีวิตหรือประกันทรัพย์สิน (กรณีสินเชื่อบ้านหรือรถ) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำประกันควบคู่กับสินเชื่อ เช่น ประกันชีวิตคุ้มครองผู้กู้ หรือประกันความเสียหายของทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกัน เช่น บ้านหรือรถ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
- ค่าปรับกรณีชำระหนี้ก่อนกำหนด เป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้กู้ต้องจ่ายหากต้องการปิดบัญชีเงินกู้ก่อนครบกำหนดสัญญา มักเรียกเก็บเพื่อชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินสูญเสียไป
ผู้กู้ควรสอบถามอัตราดอกเบี้ยแท้จริง (Effective Interest Rate - EIR) และเปรียบเทียบจากหลายแหล่งเพื่อให้เข้าใจต้นทุนที่แท้จริงของการกู้
การจัดการหนี้สินและแผนการชำระคืน
เพราะการที่เรามีแผนการชำระหนี้ที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนเราได้มีการเตรียมการมาก่อนว่าในแต่ละเดือนที่เราต้องชำระหนี้คืนสถาบันการเงิน เราจะมั่นใจได้ว่า มีแหล่งรายได้รองรับเพียงพอ โดยแนวทางการเตรียมตัวคือ
- คำนวณความสามารถในการผ่อนรายเดือนไม่ให้เกิน 30 - 40% ของรายได้
- แยกบัญชีสำหรับเงินผ่อนชำระ เพื่อควบคุมวินัยทางการเงิน
- ตั้งเตือนวันครบกำหนดชำระหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับหรือดอกเบี้ยผิดนัด
- หากมีหนี้หลายก้อน ควรวางแผนชำระจากหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวม
หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น รายได้ลด ควรติดต่อสถาบันการเงินทันทีเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือต่อรองเงื่อนไขใหม่ก่อนที่หนี้จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
ข้อควรระวังในการเลือกสินเชื่อที่เหมาะสม
ก่อนตัดสินใจกู้เงิน ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ควรดูเพียงแค่ “ยอดผ่อนรายเดือน” หรือ “โปรโมชั่น” เท่านั้น แต่ควร
-
อ่านรายละเอียดในสัญญาเงินกู้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในส่วนของเงื่อนไขและค่าปรับ
เพราะในสัญญาเงินกู้อาจมีรายละเอียดเล็กๆ ที่ส่งผลต่อภาระทางการเงิน เช่น ค่าปรับกรณีปิดบัญชีก่อนกำหนด หรือการปรับอัตราดอกเบี้ยอัตโนมัติหลังหมดช่วงโปรโมชั่น หากไม่เข้าใจให้ถ่องแท้ อาจทำให้ผู้กู้รับภาระมากกว่าที่คาดไว้ -
เลือกสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ และอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และมีช่องทางร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือหากเกิดปัญหา สถาบันที่อยู่ภายใต้การกำกับจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค เช่น การเปิดเผยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และเงื่อนไขการชำระหนี้อย่างโปร่งใส -
หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกระบบที่ไม่มีสัญญาชัดเจน และเสี่ยงต่อดอกเบี้ยเกินกฎหมาย
เพราะเงินกู้นอกระบบมักมาพร้อมดอกเบี้ยสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่มีหลักประกันทางกฎหมาย และมีความเสี่ยงสูงทั้งในแง่ความปลอดภัยของผู้กู้ รวมถึงความรุนแรงในการทวงหนี้ ผู้กู้หลายรายตกเป็นเหยื่อเพราะเข้าใจว่า “ได้เงินง่าย” แต่ต้องแลกมาด้วยความเสียหายระยะยาว -
ตรวจสอบว่าจุดประสงค์ในการกู้เงินสอดคล้องกับประเภทของสินเชื่อ
เช่น ไม่ใช้บัตรกดเงินสดไปลงทุนระยะยาว สินเชื่อแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น บัตรกดเงินสดเหมาะกับการใช้จ่ายฉุกเฉินในระยะสั้น ไม่ใช่การลงทุนหรือซื้อสินทรัพย์ระยะยาว เพราะดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อแบบมีหลักประกัน หากใช้ผิดประเภท อาจทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงเกินความจำเป็น
สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ และกรุงไทย Smart Money
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสินเชื่อในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินเชื่อตามลักษณะผู้กู้ ระยะเวลา หลักประกัน หรือวัตถุประสงค์เฉพาะ สิ่งสำคัญต่อมาคือการเลือกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ตอบโจทย์ความต้องการและความจำเป็นของชีวิตอย่างเหมาะสม
สำหรับผู้มีรายได้ประจำที่รับเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ “สินเชื่อกรุงไทยธนวัฏ”* จุดเด่นของสินเชื่อนี้คือ เป็นเงินสดสำรองพร้อมใช้ ที่สามารถขอวงเงินได้สูงสุดถึง 15 เท่าของเงินเดือน (ขึ้นอยู่กับ MOU ที่หน่วยงานลูกค้าทำไว้กับธนาคาร) มาพร้อมอัตราดอกเบี้ยที่สมเหตุสมผล คิดดอกเบี้ยตามจำนวนเงินที่ใช้จริง ถ้าไม่ใช้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ไม่ต้องมีบุคคลหรือทรัพย์สินค้ำประกัน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินในยามฉุกเฉิน เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินในช่วงเวลาที่สำคัญ
ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่ไม่ได้รับเงินเดือนผ่านธนาคารกรุงไทย ก็สามารถเลือกใช้ “สินเชื่อกรุงไทย Smart Money”** สินเชื่อที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่มีรายได้มั่นคง เช่น พนักงานบริษัททั่วไป หรือผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป สามารถขอกู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน วงเงินกู้สูงสุด 5 เท่าของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท ผ่อนได้นานสูงสุด 60 เดือน ทำให้ผู้กู้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจตั้งแต่ต้น
การขอสินเชื่อไม่ใช่เรื่องผิด และก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวในปัจจุบัน เพราะในหลายกรณี การกู้เงินคือทางเลือกที่ช่วยให้เราก้าวผ่านข้อจำกัดทางการเงินไปสู่เป้าหมายในชีวิต เช่น การมีบ้าน การลงทุน หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การกู้เงินควรทำด้วย “ความเข้าใจ” และ “ความพร้อม” ไม่ใช่ด้วยอารมณ์หรือความเร่งรีบ
ก่อนตัดสินใจกู้เงินทุกครั้ง ควรศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขสัญญา ไปจนถึงค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ พร้อมทั้งประเมินความสามารถในการชำระหนี้อย่างเป็นจริง ไม่กู้เกินจำเป็น และรู้จักแยกแยะว่า “อยากได้” กับ “จำเป็น” นั้นแตกต่างกันอย่างไร การวางแผนกู้เงินอย่างมีสติไม่เพียงช่วยให้คุณจัดการหนี้ได้ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานของวินัยทางการเงินที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต กู้เงินอย่างฉลาด ใช้เท่าที่จำเป็น และจ่ายคืนตามแผน คือกุญแจสู่ความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
*อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญาอยู่ระหว่าง 5.13% - 5.17% ต่อปี (ณ วันที่ 15 พ.ค. 68) สมมติฐานการคำนวณมาจากอัตราดอกเบี้ย MLR = 6.75% ต่อปี (ณ วันที่ 15 พ.ค. 68) | อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ รายละเอียดการคำนวณเพิ่มเติมดูที่ www.krungthai.com | เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
**อัตราดอกเบี้ยอยู่ระหว่าง 20% - 24% ต่อปี | เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด