ภาวะโลกเดือด กับธุรกิจที่อาจจะหายไป
ในสภาวะปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับปัญหาที่มากกว่าคำว่า ภาวะโลกร้อน ที่เราคุ้นชิน เพราะตอนนี้โลกของเรากำลังเผชิญสิ่งที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือ โลกรวน จนไม่อาจจะคาดเดาได้อีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าผู้ประกอบการธุรกิจได้รับผลกระทบจากภาวะเหล่านี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เราคาดไม่ถึง
1.ธุรกิจร้านกาแฟและคาเฟ่
ธุรกิจนี้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก จากข้อมูลพบว่าคนทั่วโลกดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 2.25 พันล้านแก้ว ในขณะที่มูลค่าตลาดกาแฟโลกในปี 2024 มีมูลค่าอยู่ประมาณ 132.13 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2029 จะมีการเติบโตถึง 166.39 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว แต่ในทางกลับกันเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาที่เรียกได้ว่าเป็นราชินีกาแฟกำลังได้รับผลกระทบ ทำให้มีราคาแพงขึ้นถึง 40% ในรอบ 13 ปี สาเหตุเพราะกาแฟสายพันธุ์นี้ต้องปลูกในที่สูงและอุณหภูมิเหมาะสม จึงจะได้กาแฟรสดีไม่เพี้ยนไปจากพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งกาแฟสายพันธุ์อะราบิกาต้องปลูกในความสูงตั้งแต่ 800 เมตรขึ้นไป และมีความลาดเอียงของพื้นที่ปลูกไม่เกิน 30% อุณหภูมิที่พอเหมาะจะอยู่ที่ 15-25 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60%
ดังนั้น จะสังเกตว่ากาแฟที่ปลูกบนดอยสูง ๆ จะเก็บเกี่ยวช้ากว่า ทำให้รสชาติของกาแฟชนิดนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้เมล็ดกาแฟอะราบิกามีราคาสูงกว่าปกติ
2.ภาคการประมง
ในประเทศไทย ปลาและสัตว์น้ำทะเลหลายชนิดกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์หรือจำนวนลดลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เช่น อุณหภูมิทะเลที่เพิ่มขึ้น การฟอกขาวของปะการัง การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล กระแสน้ำที่เปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในน้ำที่ส่งผลต่อการวางไข่ และการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร เช่น ทูน่ากระป๋องที่ประเทศไทยถือเป็นอันดับหนึ่งในการส่งออกไปทั่วโลก หรือธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีวัตถุดิบหลักอย่างแซลมอน ทูน่าครีบฟ้า ที่นำไปทำเมนูซาซิมิ ซูชิโรลต่าง ๆ หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายปลาทูในตลาดสดหรือตามห้างสรรพสินค้า เพราะปลาทูส่วนใหญ่ถูกจับมาขายเร็วขึ้น ทำให้ปลาทูอาจจะโตไม่ทันกิน
3.อุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ปัจจุบัน Climate Change ทำให้น้ำในทะเลมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น มลพิษทางน้ำทำให้ระบบนิเวศใต้ทะเลเปลี่ยนไป ส่งผลให้ปะการังปรับตัวไม่ทัน เป็นต้นเหตุให้ปะการังปราศจากสีและกลายเป็นสีขาว นั่นหมายความว่า ธุรกิจดำน้ำ ดูปะการัง หรือการท่องเที่ยวแถบชายฝั่งทะเลจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
หรือเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยฝุ่น PM 2.5 มีค่าฝุ่นสูงสุดอยู่ที่ 730 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวซบเซาลง ธุรกิจท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
4.ธุรกิจการผลิตเบียร์
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเบียร์ในยุโรปด้วยเช่นกัน เช่น เยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก และสโลวีเนีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของโลก ด้วยผลผลิตดอกฮอปส์ที่ลดลง
ดอกฮอปส์ (Hops) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการผลิตเบียร์ โดยเฉพาะเบียร์ IPA ที่ต้องใช้ฮอปส์ในปริมาณมาก เพื่อให้เบียร์มีรสชาติขม และเพิ่มกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้งขึ้น ทำให้ฮอปส์โตช้าและออกดอกเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้ผลผลิตลดลงและคุณภาพไม่ดีเท่าเดิม
โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าผลผลิตฮอปส์อาจลดลงมากถึง 4-18% ภายในปี 2050 ในขณะที่ปริมาณกรดอัลฟ่าในฮอปส์ ซึ่งทำให้เบียร์มีรสชาติขม อาจลดลงมากถึง 20-31% เลยทีเดียว จากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และแห้งแล้งกว่าเดิม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลทำให้รสชาติของเบียร์เปลี่ยนไปได้ด้วยเช่นกัน
โอกาสธุรกิจใหม่ท่ามกลางวิกฤติ
ท่ามกลางวิกฤติเหล่านี้ก็ยังพอจะมีโอกาสให้ธุรกิจใหม่ ๆ ได้เติบโตขึ้นด้วย เห็นได้ชัดที่สุดในปัจจุบันเลยก็คือ ภาคพลังงานและอุตสาหกรรมยานยนต์ จากเดิมที่ต้องอาศัยเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือ ปิโตรเลียมในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ และยังมีราคาผันผวนอยู่ตลอดเวลา ได้ถูกทดแทนด้วยรถไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ซึ่งมีราคาถูกกว่า รวมถึงการเกิดธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย หรือแม้แต่การเปลี่ยนผ่านพลังงานถ่านหิน เป็นพลังงานทางเลือก เช่น โซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์ฟาร์มนั่นเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ทั้งภาครรัฐ เอกชน และภาคประชาชนอย่างเราควรตระหนักถึงและร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
ไม่พลาดความรู้ธุรกิจดีๆ Add LINE @KrungthaiSME คลิก