เจาะลึก “โกลบอลเฮ้าส์” ธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่เติบโตอย่างมั่นคงและแตกต่างด้วยพลังสร้างสรรค์
ในยุคที่ธุรกิจทุกประเภทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด โกลบอลเฮ้าส์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการผสมผสานแนวคิด Creative Economy และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาดวัสดุก่อสร้าง โกลบอลเฮ้าส์เริ่มต้นจากร้านเล็ก ๆ ในจังหวัดร้อยเอ็ด และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านที่คนไทยไว้วางใจ ด้วยวิสัยทัศน์ของคุณวิทูร สุริยวนากุล ที่ไม่เพียงแต่เห็นโอกาสในตลาด แต่ยังใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า
ความสำเร็จจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณวิทูรเริ่มต้นธุรกิจจากร้านวัสดุก่อสร้างเล็ก ๆ ภายใต้ชื่อ “ร้อยเอ็ดฟาร์ม” โดยจำหน่ายสินค้าที่ไม่ค่อยมีคนสนใจในตลาด เช่น สุขภัณฑ์หลากสี กระเบื้องเซรามิก และฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายธุรกิจไปยังสินค้าที่มีความต้องการสูง เช่น ปูนซีเมนต์และเหล็กเส้น ด้วยความเข้าใจในพื้นที่และพฤติกรรมผู้บริโภค คุณวิทูรเลือกสร้างฐานธุรกิจในจังหวัดบ้านเกิด ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการดำเนินงานและพัฒนาอย่างมั่นคง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วคือความร่วมมือทางการเงินกับธนาคารกรุงไทย คุณวิทูรเล่าว่า “ในช่วงเริ่มต้น ธุรกิจต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อขยายสาขา และด้วยความเชื่อมั่นในแผนธุรกิจที่ชัดเจน กรุงไทยได้สนับสนุนสินเชื่อที่ช่วยให้เราก้าวผ่านอุปสรรคทางการเงินได้”
เปลี่ยนโฉมตลาดวัสดุก่อสร้างด้วยโมเดิร์นเทรด
โกลบอลเฮ้าส์ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการนำแนวคิด Modern Trade มาใช้ในตลาดวัสดุก่อสร้างที่เดิมเน้นการค้าขายแบบดั้งเดิม คุณวิทูรเห็นว่า ลูกค้าต้องการความสะดวกและความชัดเจนในการเลือกซื้อสินค้า จึงนำระบบการติดป้ายราคาเข้ามาใช้ ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากในยุคนั้น อีกทั้งยังเพิ่มสินค้าให้หลากหลายและจัดวางสินค้าอย่างเป็นระเบียบ
จุดเด่นที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าคือ ระบบ Drive-Thru ซึ่งในยุคนั้นถือว่าใหม่มากสำหรับธุรกิจทุกประเภท ระบบนี้ตอบโจทย์ผู้รับเหมาที่ต้องการความสะดวกสบายในการซื้อวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก โดยลูกค้าสามารถขับรถเข้ามารับสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหาสินค้าเอง
สร้างความเติบโตด้วย Digital Ecosystem
นอกจากการขยายสาขา โกลบอลเฮ้าส์ยังมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยมีการนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ ASRS (Automated Storage & Retrieval System) มาใช้เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มความสะดวกให้กับพนักงานและลูกค้า
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ระบบ e-Tax Invoice ที่โกลบอลเฮ้าส์พัฒนาร่วมกับธนาคารกรุงไทย ระบบนี้ช่วยให้ข้อมูลการทำธุรกรรมส่งตรงไปยังกรมสรรพากรทันที และส่งใบกำกับภาษีให้ลูกค้าทางอีเมลโดยอัตโนมัติ กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ลดความซับซ้อนในการจัดการเอกสาร แต่ยังช่วยสร้างความโปร่งใสในการทำธุรกิจ
ขยายสาขาด้วยข้อมูลเชิงลึก
การวางแผนขยายสาขาของโกลบอลเฮ้าส์ไม่ได้ทำอย่างสุ่มเสี่ยง แต่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อมูลการขาย การใช้สินค้าต่าง ๆ ไปจนถึงความต้องการของตลาดในพื้นที่เป้าหมาย ปัจจุบัน โกลบอลเฮ้าส์มีสาขากว่า 87 แห่งทั่วประเทศ และยังคงวางแผนขยายไปยังพื้นที่อำเภอรอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง
บทเรียนสำหรับ SME
จากประสบการณ์ของโกลบอลเฮ้าส์ มีบทเรียนสำคัญที่ SME สามารถนำไปปรับใช้ได้:
-
ความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางการเงิน
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับธนาคารช่วยให้ SME สามารถรับมือกับวิกฤติและหาโอกาสในการเติบโตได้ -
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
การลงทุนในระบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า -
ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ความสำเร็จของโกลบอลเฮ้าส์มาจากการใส่ใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และการสร้างความแตกต่างในบริการ
ส่งต่อแรงบันดาลใจ
โกลบอลเฮ้าส์คือเครื่องพิสูจน์ว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้ หากธุรกิจมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และบริหารจัดการด้วยความชาญฉลาด SME ทุกคนสามารถเรียนรู้จากเรื่องราวความสำเร็จนี้ และต่อยอดเพื่อสร้างความสำเร็จในแบบของตัวเอง
อ่านบทความเต็มได้ที่ กรุงไทย SME FOCUS Issue 44 "โกลบอลเฮ้าส์" ผู้นำธุรกิจร้านวัสดุก่อสร้าง ก้าวสู่ความสำเร็จด้วยพลัง Creative Economy
#เคล็ดลับธุรกิจ #GlobalHouse #โกลบอลเฮ้าส์ #CreativeEconomy #Krungthai #กรุงไทย #KrungthaiSME #กรุงไทยSME #พลิกธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน