Softening data open room for rates cut ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาชะลอลง เพิ่มโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
Krungthai CIO มองการปรับฐานของตลาดเป็น Healthy Correction ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยนและยังคงแข็งแกร่ง มองเป็นจังหวะดีในการทยอยลงทุน
ในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม สินทรัพย์เสี่ยงถูกเทขายลงมาอย่างหนัก หลังจากปรับตัวขึ้นได้ดีนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดไปมาก รวมไปถึง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและส่งสัญญาณเข้มงวดต่อนโยบายการเงินของญี่ปุ่น และด้วย Valuation ที่ค่อนข้างตึงตัว ทำให้เกิดเกิดแรงขายออกมามาก และทำให้ตลาดหลักๆ ปรับฐานลงมา อย่างไรก็ดี Krungthai CIO มองว่า การปรับฐานในครั้งนี้จะเป็น Healthy Correction เนื่องจาก
- แม้เศรษฐกิจจะชะลอลง แต่ยังเดินหน้าไปสู่ Soft Landing ตามที่เรามอง มากกว่าที่จะเกิดภาวะถดถอย ซึ่งมุมมองนี้ไปในทิศทางเดียวกับ Fidelity International พันธมิตรของเรา โดยอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดและส้รางความวิตกกังวลนั้น เรามองว่า ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเฉพาะคือผลกระทบเฮอริเคนเบริลที่ทำให้คนไม่สามารถไปทำงานได้ เห็นได้จากตัวเลขการ Lay Off มากกว่า 70% มาจากผู้ที่ทำงานชั่วคราว ทำให้มองว่าอัตราการว่างงานที่ปรับตัวขึ้นสูงอาจเป็นแค่ปัจจัยชั่วคราว
- ผลประกอบการบริษัทยังคงขยายตัวได้ดีถึง 11% และออกมาดีกว่าคาดถึงแม้ว่าความคาดหวังต่อแนวโน้มกำไรในไตรมาสนี้จะอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม
- สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดกังวลต่อคำแถลงของนายอุเอดะมากเกินไปที่ว่า BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.5% ทาง Goldman Sachs ประเมินว่าการแข็งค่าของค่าเงิน อาจทำให้กำไรของตลาดหุ้น Topix ลดลงแต่ก็ไม่ได้ลดลงแรงเท่ากับการปรับตัวลงของตลาด
- นโยบายการเงินสหรัฐฯ ยังมีความยืดหยุ่นสูง ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสหรัฐฯ ยังยืนสูงที่ 5.25-5.50% ทำให้ Fed ยังมีขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ค่อนข้างมากในการรับมือ หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาดว่า ในปีนี้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 2 ครั้ง หรืออย่างต่ำ 50 Basis Point
ด้วยมุมมองดังกล่าว ทำให้ Krungthai CIO มองว่าสำหรับธีมและสินทรัพย์ที่ Krungthai CIO มองว่าน่าสนใจในช่วงที่เหลือของปียังคงคล้ายกับมุมมองก่อนหน้า ดังนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวทั่วถึงมากขึ้นตามที่เรามองไว้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มมีการ Rotate จากหุ้นขนาดใหญ่มายังหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กของสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มอื่นนอกเหนือจากเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้เรายังมองว่าหุ้นประเภทคุณภาพดี ( Quality Growth) ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ยั่งยืน และราคายังไม่แพงเกินไปก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ
- เกาะกระแสไปกับ AI งบการเงินไตรมาส 2/2024 ที่ออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า บริษัทในสหรัฐฯ จำนวนมากให้น้ำหนักการลงทุนไปกับ AI อย่างมาก ซึ่งในระยะข้างหน้าจะทำให้หุ้นกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาสในการลงทุนตลอดทั้ง Value Chain ของ AI ดังนั้นแนะนำลงทุนในบริษัทที่จะได้ประโยชน์จากเทรนด์ด้าน AI ไม่ว่าธุรกิจต้นน้ำที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนด้าน AI หรือโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของ AI ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ Cloud Data Center แหล่งพลังงานรองรับ AI และบริษัทที่นำ AI ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
- การปฎิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเห็นผล ด้านนโยบายการเงินกลับเข้าภาวะปกติ การปรับตัวลงของตลาดญี่ปุ่นนั้น เรามองว่าตลาดกังวลมากเกินไปต่อนโยบายการเงินของ BOJ ที่จะให้นโยบายการเงินกลับเข้าภาวะปกติ และการแข็งค่าของค่าเงินเยน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเพียงระยะสั้น ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญ เรากำลังเห็น Virtuous Cycle อัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับมาขยายตัวที่ระดับเป้าหมาย 2% พร้อมกับค่าจ้างที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ “ค่าจ้างที่แท้จริง” (Real Wage ) ปรับตัวขึ้น เพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้บริษัทต่างๆ สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ เป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มรายได้และกำไรเพิ่มสูงขึ้น
- ยังมีโอกาสสำหรับตลาดเกิดใหม่ เรามองว่าเศรษฐกิจจีนผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ภาคอสังหาฯ เริ่มทรงตัว ทำให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤติจากภาคอสังหาฯ ลดลง ราคาของหุ้นจีนได้รับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไปพอสมควรแล้ว ทางการจีนมีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ก็ตาม ดังนั้นหุ้นจีนมีโอกาสฟื้นตัวต่อ นอกจากนี้เรายังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อหุ้นเกาหลีใต้ แนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งตามกำไรของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยังได้รับแรงหนุนจากแผนการเพิ่มมูลค่าบริษัทจดทะเบียนอีกด้วย (Korea Value up Program)
- สินค้าโภคภัณฑ์อีกหนึ่งทางเลือกป้องกันความไม่แน่นอน ในช่วงที่เหลือของปีจะเป็นช่วงที่ปัจจัยด้านการเมือง และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์มีความเข้มข้นมากขึ้น มีการเลือกตั้งใหญ่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่วนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน กลุ่มฮามาส หรือกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นนักลงทุนอาจเลือกป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน หรือทองคำ
- เตรียมพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยขาลง วัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญคือขนาด และจังหวะของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงมากกว่าคาด ทำให้เฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนกันยายน ในปี 2024 และมี Upside Risk ที่เฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้มากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งทำให้ตราสารหนี้เริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น
สุดท้าย ถึงแม้ว่าในไตรมาส 3 อาจเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวน แต่เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนมากกว่า และไตรมาส 4 เป็นช่วงที่ส่วนใหญ่ตลาดฟื้นตัวได้ดี โดยเฉพาะในปีที่การเลือกตั้ง