วิธีจัดพอร์ตการลงทุน รวมขั้นตอนสร้างพอร์ตยังไงให้ประสบความสำเร็จ
การจัดพอร์ตการลงทุนเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่นักลงทุนไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและควบคุมระดับความผันผวนของพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมกระจายไปลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการลงทุนได้ รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
การจัดพอร์ตการลงทุนคืออะไร
การจัดพอร์ตการลงทุน คือ การแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลาย ๆ ประเภท เพื่อการกระจายความเสี่ยง กระจายโอกาสสร้างผลตอบแทนเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของผู้ลงทุนมากที่สุด
“พอร์ตการลงทุนที่ดี” ต้องเป็นอย่างไร?
พอร์ตการลงทุนที่ดี คือ พอร์ตการลงทุน ที่มีการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ตั้งแต่นักลงทุนมือใหม่ไปจนถึงนักลงทุนมืออาชีพ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยพอร์ตการลงทุนที่ดีจะต้องมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมและต้องมีการลงทุนในหลากหลายประเภททรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวม เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากจนเกินไป
นอกจากนี้พอร์ตการลงทุนที่ดีต้องสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำควรถือสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากกว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ในขณะที่นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงสามารถถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงได้มากขึ้น
สิ่งสำคัญอีกประการคือ การจัดพอร์ตการลงทุนต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการลงทุนด้วย ถ้าหากผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนสูงก็อาจจะแบ่งสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงมากขึ้น
แต่หากต้องการรักษาเงินต้น ก็ควรเน้นไปที่การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากกว่า และสุดท้ายพอร์ตการลงทุนที่ดีนั้นจำเป็นต้องได้รับการทบทวนและปรับปรุง หรือที่ภาษาการลงทุนเรียกว่า “Portfolio Rebalancing” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป
ลักษณะของพอร์ตการลงทุนที่ดีเป็นอย่างไร
มีสภาพคล่องสูง
พอร์ตการลงทุนที่ดีควรประกอบด้วย สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง หมายความว่า ในพอร์ตการลงทุนของเราควรจะมีสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ง่ายและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่กระทบต่อราคาสินทรัพย์มากนัก ทั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนออกจากการลงทุนได้สะดวก และรองรับความต้องการใช้เงินในภาวะฉุกเฉินได้
มีความยืดหยุ่นสูง
พอร์ตการลงทุนที่ดีต้องมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เมื่อจุดมุ่งหมายของการลงทุนของเราเปลี่ยนไปหรือระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้มีการเปลี่ยนแปลง พอร์ตการลงทุนก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของนักลงทุน
ไม่ลงทุนในทรัพย์สินเดียวและไม่หลากหลายมากเกินไป
การลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว เปรียบเสมือนการใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะถ้าหากสินทรัพย์นั้นมีเหตุมากระทบทำให้ราคาร่วงหนักก็จะส่งผลกระทบต่อ พอร์ตการลงทุนอย่างรุนแรง ในทางกลับกัน การลงทุนที่หลากหลายมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการพอร์ตได้ ดังนั้นพอร์ตการลงทุนที่ดีจึงควรประกอบด้วยสินทรัพย์ที่หลากหลายอย่างพอเหมาะ ไม่หนาแน่นหรือกระจายจนเกินไป
กระจายการลงทุน ไปในสินทรัพย์หลายประเภท หลายความเสี่ยง
หนึ่งในหลักการสำคัญของการจัดพอร์ตการลงทุน คือ การกระจายความเสี่ยง โดยการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ รวมทั้งสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงแตกต่างกันเพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเภทสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ หรือในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป
- กลุ่มสินทรัพย์เพื่อถือระยะสั้น มีลักษณะเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ผลตอบแทนอาจจะไม่มาก แต่ก็มีความปลอดภัยสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน
- กลุ่มสินทรัพย์เพื่อกระแสรายได้ ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ ได้แก่ เงินฝากประจำ พันธบัตร หุ้นกู้
- กลุ่มสินทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุน เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่ก็มีจุดเด่นในการช่วยเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนในระยะยาว เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น ETF
ขั้นตอนการสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
1. กำหนดเป้าหมายของพอร์ตการลงทุน
ขั้นตอนแรกเราควรแยกพอร์ตการลงทุนออกเป็นตามแต่ละเป้าหมาย เพราะแต่ละเป้าหมายก็มีเงื่อนไข ความสำคัญ และระยะเวลาที่ต้องบรรลุเป้าหมายแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกประเภทของสินทรัพย์ลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละพอร์ตการลงทุน
2.สำรวจตนเอง
ในขั้นตอนนี้ให้ผู้ลงทุนพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะนักเทรดหุ้นมือใหม่ หรือผู้ที่กำลังศึกษาและสนใจด้านการลงทุน ทั้งในแง่ของทัศนคติที่มีต่อการลงทุน อายุ ฐานะ การเงิน และความอดทนต่อการขาดทุน เช่น วัยเริ่มทำงาน อายุน้อย ไม่มีภาระ มีระยะเวลาในการลงทุนยาว ก็สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แต่หากเป็นวัยกลางคน มีภาระเยอะ เหลือเวลาลงทุนไม่นาน ก็จะรับความเสี่ยงได้ต่ำกว่า
3.จัดพอร์ตการลงทุน
การแบ่งสัดส่วนการลงทุนนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ โดยการแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ อย่างเช่น
- วัยเริ่มทำงาน เป็นช่วงวัยที่ยังสามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูงเนื่องจากมีระยะเวลาทำงาน และระยะเวลาในการลงทุนนานกว่าช่วงวัยอื่น ๆ การจัดพอร์ตการลงทุนจะเป็นไปในแนวทางเชิงรุก (Aggressive) โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนเป็นเงินฝากหรือกองทุนรวมตลาดเงินประมาณ 10% ตราสารหนี้ 20% และตราสารทุน (หุ้น) อีก 70%
- วัยกลางคน ในช่วงวัยนี้จะสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง เพราะมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นภาระครอบครัว ค่าผ่อนบ้าน รถ ค่าเทอม ดังนั้นอาจจัดพอร์ตให้มีความเสี่ยงปานกลาง (Moderate) สามารถทำได้โดยการแบ่งเป็นเงินฝากหรือกองทุนรวมตลาดเงิน 20% ตราสารหนี้ 30% และตราสารทุน 50%
-
วัยใกล้เกษียณ ความสามารถในการรับความเสี่ยงได้น้อย เพราะมีระยะเวลาการลงทุนไม่มาก และอาจจะไม่ได้ทำงานแล้ว จึงจำเป็นต้องรักษาเงินต้นไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ อาจจัดพอร์ตแบบระมัดระวัง (Conservative) แบ่งเป็นเงินฝากหรือกองทุนรวมตลาดเงิน 30% ตราสารหนี้ 30% และตราสารทุน 40%
ทำความรู้จักกับ ตราสารหนี้ bond คืออะไร ทำไมนักลงทุนมือใหม่ควรเข้าใจ
การติดตามผลและปรับปรุงพอร์ตการลงทุน
เมื่อลงทุนไปสักระยะหนึ่ง สถานการณ์เศรษฐกิจ และภาวะตลาดการลงทุนและราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักของสินทรัพย์บางตัวมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เช่น ถ้าปีนี้หุ้นสามัญสร้างผลตอบแทนได้ดี สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตของเราก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย และหากในปีถัดไปตลาดหุ้นตกอย่างหนักแน่นอนว่าพอร์ตการลงทุนที่มีหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากก็มีโอกาสที่จะขาดทุนมากนั่นเอง
ตัวอย่างการจัดพอร์ตสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้ปานกลาง
แนะนำการลงทุนที่น่าสนใจ
สำหรับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่ที่อยากลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง และหน้าเก่าที่อยากจะขยายพอร์ตลงทุนของตัวเอง หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนคือ Depository Receipt (DR) ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นตราสารที่อ้างอิงกับหุ้นต่างประเทศ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลกได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย ไม่ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ช่วยให้ผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และสะดวกในการซื้อขาย เนื่องจาก DR ซื้อขายเป็นสกุลเงินบาท โดยที่นักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทั้งเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคา เสมือนลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยตรง รวมทั้งกำไรจากส่วนต่างราคา (Captital gain) ก็ได้รับการยกเว้นภาษีเช่นเดียวกับหุ้นไทย
นอกจากนี้ DR จากธนาคารกรุงไทยมีจุดเด่นที่มีหลักทรัพย์ให้เลือกลงทุนหลากหลายทั้งจากตลาดหุ้นสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ โดยมีหลักทรัพย์ที่โดดเด่นอย่าง Apple (AAPL80X) Tesla (TSLA80X) Berkshire (BRKB80X) NVIDIA (NVDA80X) Netflix (NFLX80) Alibaba (BABA80) Uniqlo (UNIQLO80) และหลักทรัพย์อื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นใครที่กำลังมองหาการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นไทยไปยังหุ้นต่างประเทศแบบไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศให้ยุ่งยาก DR จากธนาคารกรุงไทยถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
อีกทางเลือกการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนที่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจคือ Gold Wallet ที่ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในทองคำได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตังค์ ตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและมั่นคงในยามที่ตลาดมีความผันผวน เนื่องจากทองคำมักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน
จุดเด่น Gold Wallet คือผู้ลงทุนสามารถซื้อ-ขายทองคำแท่งออนไลน์แบบครบวงจร โดยรองรับทั้งทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% และ 96.5% อีกทั้งการเปิดบัญชีก็ทำได้อย่างง่าย และการส่งคำสั่งซื้อ-ขายทองคำโดยตรงกับร้านทองชั้นนำ 3 ร้านแบบเรียลไทม์ โดยที่ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะซื้อ-ขายทองด้วยบัญชีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือสกุลเงินบาทก็ได้ ทำให้การลงทุนนั้นมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุนที่หลากหลาย
ทั้ง DR และ Gold Wallet เป็นทางเลือกในการลงทุนที่ช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ และลดข้อจำกัดด้านเงินลงทุนและความซับซ้อนในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการออมและการลงทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางการเงิน
อย่าลืมว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ดังนั้นก่อนจะทำการลงทุน นักลงทุนจำเป็นต้องประเมินความพร้อมของตนเองในการรับมือกับความเสี่ยงเหล่านั้น รวมถึงศึกษาข้อมูล วิธีเล่นหุ้นหรือลงทุนในกองทุน และแนวทางการลงทุนอย่างละเอียดรอบคอบ ถ้าหากนักลงทุนท่านใดต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน หรืออยากติดตามสาระความรู้ดี ๆ แบบนี้สามารถติดตามและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.krungthai.com