สรุปชัด! วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องรู้
เมื่อเริ่มทำงานมีรายได้ หน้าที่สำคัญที่เพิ่มขึ้นมาคือการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี แต่หลายคนที่ยังไม่เคยเสียภาษีอาจจะมีคำถามว่าวิธีคิดภาษีต้องคิดอย่างไร? ต้องเอาเงินตรงไหนมาคำนวณบ้าง? กรุงไทยรวบรวมเนื้อหาและตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องรู้ พร้อมข้อมูลเรื่องสิทธิลดหย่อนให้ทุกคนได้เตรียมตัวสำหรับการวางแผนจ่ายภาษี สรุปชัดไว้ในบทความนี้แล้ว
เงินได้ที่ต้องเสียภาษี มีอะไรบ้าง?
เงินได้ที่ต้องเสียภาษี คือ เงินได้หรือรายได้ที่เราได้รับจากการทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เป็นต้น
สิ่งที่นำมาคำนวณภาษี ได้แก่
-
รายได้
รายได้รวมตลอดทั้งปี ตั้งแต่ 1 มกราคาจนถึง 31 ธันวาคม ทั้งรายได้จากงานประจำและรายได้เสริมอื่นๆ
-
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนในการทำธุรกิจ หรือหากรับเป็นเงินเดือนสามารถหักค่าใช่จ่ายแบบเหมา 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยไม่เกิน 100,000 บาท
-
ค่าลดหย่อนภาษี
สิทธิขอลดหย่อนภาษี ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนพื้นฐาน ครอบครัว การลงทุน กองทุน หรือประกัน
-
อัตราภาษี
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะคิดอัตราภาษีก้าวหน้าแบบขั้นบันได หรือแบบเหมาจ่าย ขึ้นอยู่กับว่าแบบใดจะเสียภาษีมากกว่าให้ยึดจ่ายตามนั้น
วิธีคำนวนภาษี
-
หารายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
รายได้คือเงินได้ตลอดทั้งปีที่ได้รับนำมาบวกกันทั้งหมด วิธีหารายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตัวอย่าง นางสาว A มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน ได้รับโบนัส 60,000 บาท และมีรายได้จากงานอิสระรวม 50,000 บาทต่อปี แสดงว่ารายได้ตลอดทั้งปีของนางสาว A คือ
เงินเดือนทั้งปี + รายได้อิสระทั้งปี = รายได้ต่อปี(30,000 x 12) + 60,000 + 50,000 = 470,000 บาทค่าใช้จ่ายโดยทั่วไปจะคิดแบบเหมารวม ซึ่งสามารถนำมาหักได้ 50% ของรายได้จากงานประจำ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ตัวอย่าง นางสาว A มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน นำมาหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้
รายได้ x 50% = รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย
470,000 x 50% = 235,000 บาทด้วยข้อจำกัดการหักค่าใช้จ่ายไม่เกิน 100,000 บาท แม้จะนำรายได้หักค่าใช้จ่ายได้ 235,000 แต่จะหักค่าใช้จ่ายได้เพียง 100,000 บาทเท่านั้น ดังนี้
470,000 - 100,000 = 370,000 บาท
รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจริงจึงเท่ากับ 370,000 บาท -
หารายได้สุทธิหักค่าลดหย่อนภาษี
สำหรับรายได้สุทธิเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่ารายได้จริงๆ อยู่ในระดับฐานภาษีเท่าไหร่ และต้องจ่ายภาษีในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์ โดยรายได้สุทธิแต่ละระดับจะถูกคิดอัตราภาษีที่แตกต่างกันเป็นขั้นบันได ยิ่งมีเงินได้สุทธิมาก ยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามไปด้วย โดยสามารถคิดรายได้สุทธิได้จากสูตรการคำนวณภาษี ดังนี้
“รายได้สุทธิ = เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน”
ข้อควรรู้สำคัญคือ สิทธิลดหย่อนภาษีของตัวเอง โดยค่าลดหย่อน
หมายถึง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่กฎหมายอนุญาตให้หักจากรายได้ หรือที่เรียกกันว่าการลดหย่อนภาษี
ตัวอย่างสิทธิในการลดหย่อนภาษี
สำหรับใครที่กำลังมองหากองทุน RMF หรือ SSF ลดหย่อนภาษีที่ผลการดำเนินงานโดดเด่น เพื่อเติมโอกาสทำกำไรให้พอร์ตกองทุน กรุงไทยมีตัวอย่างกองทุนที่น่าสนใจมาแนะนำ อาทิ
1. กลุ่มส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้ (ได้สูงสุด 1 คน) ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน
-
ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้ (ได้สูงสุด 1 คน)
-
ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน
2. กลุ่มการลงทุน
-
กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
-
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดย
-
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
- RMF กองทุนเปิด KTAM WORLD เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-WTAI RMF) กองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-VIETNAM RMF) กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-GOLD RMF) เป็นต้น
- SSF กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-INDIA-SSF) กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-US-SSF) กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-FINANCE-SSF) เป็นต้น
3. กลุ่มประกัน
-
เงินประกันสังคม สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท
-
เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยเงื่อนไขของค่าลดหย่อนประกันชีวิตคือ ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป ต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และถ้าหากมีการเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
-
เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
โดยในส่วนนี้ทางกรุงไทยเรามีประกันชีวิตและประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยมากมาย ให้คุณนำไปลดหย่อนภาษีและคุ้มครองครอบคลุมตอบโจทย์ในทุกสถานการณ์
4. กลุ่มบริจาค
-
เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
-
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี
-
เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง นำมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 เป็นต้นไป
ทั้งนี้สามารถศึกษาสิทธิในการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th
3. นำมาหักภาษีแบบขั้นบันได
เมื่อทราบรายได้สุทธิให้นำรายได้สุทธิมาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได โดยนำรายได้ได้สุทธิคูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าเราต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ โดยอัตราภาษีเพิ่มขึ้นตามเงินได้สุทธิที่มากขึ้น
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ตามขั้นบันได) = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
อัตราภาษีแบบขั้นบันได
- 0 – 150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
- 150,001 – 300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้คือ 7,500 บาท)
- 300,001 – 500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 20,000 บาท)
- 500,001 – 750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 37,500 บาท)
- 750,001 – 1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 50,000 บาท)
- 1,000,001 – 2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 250,000 บาท)
- 2,000,001 – 5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 600,000 บาท)
- 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
ตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นางสาว A มีรายได้ทั้งปี 470,000 บาท หักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าลดหย่อนจากประกันสังคม 9,000 บาท มีตัวช่วยลดหย่อนเพิ่มเติมคือ บริจาคเงินกับโรงพยาบาล 1,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคเท่ากับ 2,000 บาท
เงินได้ - ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
470,000 - 100,000 - 60,000 - 9,000 – 2,000 = 299,000 บาท
จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปเทียบอัตราภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งเงินได้สุทธิของนางสาว A จะอยู่ระหว่างฐาน 150,001 – 300,000 บาท อัตราภาษี 5% ซึ่งทำให้นางสาวซีต้องเสียภาษี ดังนี้
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ตามขั้นบันได) = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
299,000 – 150,000 (อัตราภาษีขั้นแรก) = 149,000 บาท
149,000 x 5% = 7,450 บาท
จากตัวอย่างข้างต้นสรุปได้ว่านางสาว A ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงิน 7,450 บาท
เมื่อทราบวิธีคำนวณภาษีและเห็นตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว ลองนำรายได้ของตัวเองมาคำนวณภาษี เพื่อเตรียมตัวสำหรับวางแผนการจ่ายภาษีล่วงหน้า และเช็คสิทธิลดหย่อนก่อนจะยื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นกองทุน หรือประกัน ทางกรุงไทยมีพร้อมให้คุณเลือกอย่างครอบคลุม คุ้มค่า ให้เราเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการบริหารเงินสำหรับการคิดภาษีเงินได้ของคุณ ทั้งนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.krungthai.com