Looking beyond Mag 7 กลุ่มเทคโนโลยียังมีแนวโน้มที่เติบโตได้สูงต่อไป จากการเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง เฟดคงอัตราดอกเบี้ยตามที่คาด และมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้ GDP ไตรมาส 4/2023 ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าที่คาดมาก ขณะที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน ซึ่งแม้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ทำให้โอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนมีนาคมน่าจะถูกปิดประตูแล้ว และ Krungthai CIO มองเหมือนเดิมว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างเร็วที่สุดในช่วงไตรมาส 2/2024 ด้านเศรษฐกิจยุโรปพ้นสภาวะการถดถอยทางเทคนิคได้ จาก GDP สหภาพยุโรปในไตรมาสที่ 4/2023 ทรงตัว

แต่เยอรมนียักษ์ใหญ่ของกลุ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ด้าน ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และกรรมการ ECB ยังมองว่า ตลาดมองการปรับลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป ด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังคลุมเครือจากตัวเลขด้านการผลิตที่ออกมา ส่วนญี่ปุ่นเงินเฟ้อชะลอลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งอาจทำให้ BoJ ยืดเวลาการใช้นโยบายการเงินตึงตัวออกไปได้ สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตลดลงโดย กนง. ปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มเงินเฟ้อปี 2024 อย่างไรก็ดี กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาด ซึ่ง Krungthai CIO มองเหมือนเดิมว่า นโยบายการเงินอาจผ่อนคลายเพิ่มเติม หากดิจิทัลวอลเล็ตไม่เกิดขึ้น

ในส่วนของมุมมองการลงทุน Krungthai CIO ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศและไทย โดยมองว่าตลาดได้ปรับคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางของดอกเบี้ยให้สมเหตุสมผลมากขึ้น ทำให้มองว่า Bond Yield จะมีความผันผวนน้อยลงและมีโอกาสปรับตัวลงได้ นอกจากนี้ ตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยในการกระจายความเสี่ยงได้ดี หากสมมติฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้โตตามคาด ขณะที่ตราสารหนี้ไทยจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ใน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ข้อมูลที่ประกาศออกมาสอดคล้องกับมุมมองเรื่อง “Soft Landing”

นอกจากนี้ Fed ก็ส่งสัญญาณจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ และผลประกอบการไตรมาส 4 ออกมาดีกว่าคาด แต่การปรับตัวขึ้นกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ และ Valuation ตลาดถือว่าค่อนข้างแพง ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะมีการปรับฐาน เช่นเดียวกับตลาดญี่ปุ่นที่ขึ้นแรงในช่วงเดือนมกราคม จึงแนะนำให้เข้าลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นในช่วงที่ตลาดหุ้นย่อตัวลง ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า แต่การที่ทองคำปรับตัวขึ้นแรง ควรรอให้ทองคำย่อตัวลงค่อยทยอยเข้าลงทุน สำหรับน้ำมันมองว่าราคาไม่น่าปรับตัวลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการในการใช้น้ำมันยังคงปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมัน ขณะที่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ในตลาดยุโรป อินเดีย ไทย เวียดนาม รวมทั้งกลุ่ม Healthcare และ Technology

โดยตลาดยุโรป มองว่า เศรษฐกิจยุโรปผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ECB มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่เริ่มกลับมาสู่ระดับปกติ ตลาดอินเดียได้รับแรงบวกจากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่อยู่ในระดับสูง ด้านตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนจาก GDP ปี 2024 ที่จะเติบโตเร่งขึ้น และ Valuation ที่ไม่แพง สำหรับตลาดหุ้นเวียดนามได้แรงหนุนของการเติบโตของ GDP ที่น่าจะโตได้ดีส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสภาพคล่องของประเทศก็ดีขึ้นต่อเนื่อง และกลุ่ม Healthcare ที่เป็นกลุ่มที่มีความผันผวนของอัตรากำไรในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวในระดับต่ำและมีอำนาจในการต่อรองราคา ขณะที่ กลุ่ม Technology เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่สูงที่สุดในทุก Sector หลักทั่วโลก นอกจากนั้น แนะนำ Trading Buy ในตลาดหุ้นจีนและเอเชีย Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นจีนดีขึ้น จากมาตรการภาครัฐที่ทยอยออกมาเอื้อต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน ด้านตลาดเอเชียจะได้ผลดีจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ขณะที่บางประเทศในเอเชียก็มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น อินโดนีเซียจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสีเขียว ระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับการบริโภคที่แข็งแกร่งและกระแส FDI ที่ไหลมาอย่างต่อเนื่อง

คำแนะนำสำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง/สูง ขึ้นไปเท่านั้น (ประเมินความเสี่ยงได้ระดับ 3 ขึ้นไป) แนะนำจัดสรรสัดส่วนการลงทุนในพอร์ต Trading Idea ไม่เกิน 20% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด เนื่องจากคำแนะนำอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรติดตามคำแนะนำอย่างใกล้ชิด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน