เหตุผลที่ควรทำประกันให้ลูก เลือกแบบไหนให้คุ้มครองคุ้มค่า
ลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจขอพ่อแม่ เมื่อยามลูกเจ็บป่วยย่อมสร้างความกังวลใจให้คนเป็นพ่อแม่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันเด็กยังไม่แข็งแรง จึงสามารถติดเชื้อได้ง่าย เมื่อติดแล้วก็มีโอกาสที่จะเป็นซ้ำได้ และอาจทวีความรุนแรงมากกว่าครั้งแรก จึงต้องระวังเป็นพิเศษเนื่องจากอาการรุนแรงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย วิธีหนึ่งที่จะปิดความเสี่ยงในเรื่องนี้คือคุณพ่อคุณแม่ทำประกันให้ลูก เพื่อให้ประกันเป็นผู้ช่วยรับความเสี่ยงและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
เหตุผลที่พ่อแม่ควรทำประกันให้ลูก
1. ร่ายกายเด็กมีความบอบบาง มีโอกาสป่วยง่าย
ร่างกายของเด็กอายุในช่วงเกิดจนถึง 1 ปี ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอมากและมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บอยู่บ่อย ๆ โดยโรคที่พบมากในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยดูแล ได้แก่ ไวรัส RSV ที่ทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบในเด็กเล็กที่สำคัญคือไวรัสชนิดนี้แพร่ระบาดเร็วมาก โรคมือเท้าปากที่ระบาดในช่วงหน้าฝน และอีกหลายโรคที่สร้างความกังวลให้กับผู้ปกครองเมื่อเด็ก ๆ ป่วย อาทิ โรคอีสุกอีใส โรคหัด โรคไข้เลือดออก โรคท้องร่วง โรคไข้หวัดในเด็ก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคภูมิแพ้ และส่วนโรคภัยไข้เจ็บที่ได้กล่าวไปเกือบทั้งหมดเมื่อเป็นแล้วส่วนใหญ่คุณหมอจะให้เด็ก ๆ แอดมิทเพื่อรอสังเกตอาการก่อนประเมินทางเลือกในการรักษาต่อไป
2. เด็กเล็กไม่สามารถสื่อสารอาการได้
กว่าที่เด็ก ๆ จะเริ่มสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วและเข้าใจบริบทของการสื่อสารอย่างชัดเจนก็อายุ 3 ขวบเข้าไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าโรคภัยไข้เจ็บไม่เลือกอายุ เมื่อเด็ก ๆ รู้สึกไม่สบาย เด็กๆหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วย อาจจะแสดงออกด้วยอาการเซื่องซึม หรือ ร้องไห้งอแง พ่อแม่อาจไม่เข้าใจว่าลูกเป็นอะไร จึงเลือกที่จะพาลูก ๆไปพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการ นี่เลยเป็นปัญหาสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลก็จะเกิดขึ้นทันทีเช่นกัน ดังนั้นการซื้อประกันให้ลูกคือวิธีการป้องกันความเสี่ยงที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไรได้ดีที่สุด
3. ค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันค่อนข้างสูง
รู้หรือไม่ว่าโดยปกติแล้วเงินเฟ้อของค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากถึง 7 - 8% ต่อปี และภายในระยะเวลาประมาณ 10 ปี มีโอกาสที่ค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการทางการแพทย์ต่าง ๆ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ดังนั้นทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่จึงต้องพิจารณาถึงการทำประกันให้ลูกจะดีกว่าการไม่มีประกันเลย เพราะนั่นเท่ากับเราต้องเผชิญความเสี่ยงตรง ๆ หากเกิดเหตุการณ์ลูกน้อยเจ็บไข้ได้ป่วยถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล
นอกจากนี้ในโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งมีมาตรฐานค่ารักษาพยาบาลที่แตกต่างกันไปตามความเชี่ยวชาญและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้ป่วยจะได้รับ ยกตัวอย่างโรงพยาบาลเอกชนในระดับกลางค่าห้องพักต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อคืน และในส่วนโรงพยาบาลระดับสูงค่าห้องพักต่อคืนอาจสูงถึงคืนละหลายหมื่นบาท และเมื่อลูกต้องเข้ารับการรักษาหรือถ้าต้องสังเกตอาการก็จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 3-7 วัน และแน่นอนค่าใช้จ่ายหลักหลายหมื่นต้องมีแน่นอน
ซื้อประกันสุขภาพให้ลูกดีอย่างไร
1. ช่วยให้รับมือกับค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัว
รู้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาเด็กเล็กในโรงพยาบาลเอกชนโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 - 20,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงจนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นกังวลหากไม่ได้มีแผนสำรองสำหรับเรื่องการเจ็บป่วยของลูกน้อย ดังนั้นการทำประกันให้ลูกจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดและแทนความห่วงใยจากใจคุณพ่อคุณแม่มีให้กับลูกน้อย
2. มีโอกาสได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและรวดเร็ว
ถ้าคุณพ่อคุณแม่เลือกทำประกันให้ลูกกับบริษัทประกันที่มีโรงพยาบาลเครือข่ายที่ครอบคลุมและใกล้บ้าน จะยิ่งทำให้ลูกน้อยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจากหนักก็จะเป็นเบา ที่สำคัญการที่คุณพ่อคุณแม่ทำประกันให้ลูกจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถตัดสินใจพาลูกน้อยไปยังโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์การรักษาที่ครบครันทันสมัย มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล มีความปลอดภัยและมาตรฐานสูง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ต้องทำประกันให้ลูก เพราะเมื่อถึงคราวที่ต้องใช้ประโยชน์จากประกันที่ทำไว้เราจะสามารถเดินเข้าโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อคนที่เรารักที่สุดได้
3. เด็กมีโอกาสป่วยง่ายกว่าผู้ใหญ่ดังนั้นซื้อประกันให้ลูกไว้ก็ไร้กังวล
ใน 1 ปี มีสถิติบ่งบอกว่าเด็กมีโอกาสที่จะป่วยได้ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เชื้อโรคหรือไวรัส มีการพัฒนาความรุนแรงและระบาดเร็วมากขึ้น ทำให้เมื่อลูกรักมีอาการป่วยหนัก มักจะมีอาการที่รุนแรง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 3-7 วันแล้วแต่ความรุนแรงของโรค และถ้ายิ่งต้องมีการสังเกตอาการนานหลายวัน ค่าใช้จ่ายจึงสูงตามไปด้วย
4. ทำประกันในช่วงที่ลูกยังไม่ป่วยมีโอกาสได้รับการคุ้มครองทุกโรคในเด็ก
โดยปกติแล้วการที่บริษัทประกันจะ “รับประกัน” ผู้ที่สมัครเอาประกัน เงื่อนไขข้อแรกที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในหมวดประกันสุขภาพก็คือ “ต้องเป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งพิการ หรือวิกลจริต ณ วันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ” ดังนั้นในช่วงที่ลูกยังมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจากการกินนมแม่นั่นคือแรกเกิดจนถึง 9 เดือน คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาการทำประกันให้ลูกน้อย เพื่อโอกาสที่บริษัทประกันจะรับประกันและมีโอกาสผ่านได้ง่ายกว่าเด็กที่เคยมีประวัติป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
เลือกซื้อประกันให้ลูกแบบไหน จึงจะคุ้มค่า
1. ศึกษาและเปรียบเทียบแผนความคุ้มครองจากผู้ออกประกันให้ครบทุกบริษัท
การเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันสุขภาพหรือประกันสุขภาพอุบัติเหตุสักหนึ่งฉบับเราเสียค่าใช้จ่ายจากเงินของเรา ดังนั้นเราต้องมั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะถูกใช้ไปกับกรมธรรม์ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตและพร้อมทำให้เราอุ่นใจเมื่อต้องเผชิญความเสี่ยง และที่สำคัญการเลือกประกันไม่ว่าจะประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ไม่ใช่ว่าต้องเลือกกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองสูงที่สุดเพราะยิ่งวงเงินคุ้มครองสูง เบี้ยประกันก็สูงตาม เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญเหตุจริง ๆ เราอาจจะใช้ประกันได้ไม่เต็มความคุ้มครองกับวงเงินที่เราจ่ายไป ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดต้องการจะทำประกันให้ลูกควรต้องศึกษาประเภทประกัน ความคุ้มครอง สิทธิประโยชน์ และเงื่อนไขจำกัดจาก “ทุกบริษัท” ให้ละเอียดถี่ถ้วนจากนั้นเปรียบเทียบแต่ละหัวข้อที่เราต้องการได้รับความคุ้มครอง ซึ่งประกันสุขภาพที่ดีคือ ครอบคลุม คุ้มครอง ในราคาที่คุ้มค่า
2. เลือกประกันที่มีความคุ้มครองครบถ้วนตามที่เราต้องการในวงเงินที่เราพิจารณาแล้วว่าจ่ายไหว
การเลือกแบบประกันที่ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาความคุ้มครองที่ครอบคลุมและเหมาะสม เมื่อใดที่ลูกเจ็บป่วยประกันฉบับนี้ที่คุณพ่อคุณแม่เลือกให้ลูกจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ทันที โดยความคุ้มครองพื้นฐานที่ต้องคำนึงถึงเบื้องต้นได้แก่ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน (IPD) ที่ต้องมีการนอนโรงพยาบาล หรือ หากอาการไม่ได้หนักมากการเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ตรงนี้กรมธรรม์รองรับอยู่ที่ครั้งละเท่าใด ที่สำคัญบริษัทประกันนั้นมีโรงพยาบาลคู่สัญญาอยู่ในพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็จะสะดวกมากขึ้นและสามารถพาลูกเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
3. เบี้ยประกันควรอยู่ในกำลังทรัพย์และวงเงินที่เหมาะกับการเงินของตัวเอง
เบี้ยประกันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เพราะจะต้องไม่กระทบกับกระเป๋าเงินของครอบครัว และมีสัดส่วนไม่เกิน 10% - 15% ของรายได้ทั้งปี ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่มีรายได้ทั้งปีรวมกัน 360,000 บาท 10% ก็คือ 36,000 บาท แต่ก็ต้องหักค่าใช้จ่ายจำเป็นไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะเหลือรวมกันทั้งปีอยู่ที่ 200,000 บาท งบในการซื้อประกันให้ลูกก็จะอยู่ที่ 20,000 บาท เป็นต้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรตั้งโจทย์จากงบประมาณที่มีเป็นหลักก่อนที่จะทำประกันให้ลูก โดยเน้นที่มีความคุ้มครองพื้นฐานครบถ้วน อย่างเช่น ผู้ป่วยใน อุบัติเหตุ และค่าห้องพัก และคิดค่าใช้จ่ายเป็นแบบเหมาจะดีที่สุด
4. เข้าใจระยะเวลารอคอยการอนุมัติกรมธรรม์
ระยะเวลารอคอย คือ ระยะเวลาหลังจากที่เราทำประกันแล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในกรณีทีเราเจ็บป่วยได้ เนื่องจากบริษัทประกันต้องการแน่ใจว่าผู้เอาประกันไม่ได้มีโรคประจำตัว หรือ โรคร้ายแรง โดยปกติแล้วระยะเวลารอคอยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ระยะเวลาในการแสดงอาการของโรค สำหรับประกันสุขภาพโรคทั่วไป ประกันสุขภาพ และประกันชดเชยรายได้ มักจะมีระยะเวลารอคอย 30 วันนับตั้งแต่วันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ ส่วนประกันโรคร้ายแรงโดยปกติจะมีระยะเวลารอคอยอยู่ที่ 120 วัน ดังนั้นผู้ทำประกันจะต้องศึกษาเรื่องระยะเวลารอคอยให้แน่ชัดก่อน และมั่นใจว่ามีสุขภาพแข็งแรงเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำประกันสุขภาพนั่นเอง
5. ทำความเข้าใจในรายละเอียด เงื่อนไข และข้อจำกัดของกรมธรรม์ให้ครบถ้วน
การทำความเข้าใจรายละเอียดและเงื่อนไขของกรมธรรม์เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เราควรศึกษาควบคู่ไปกับเรื่องสิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง เพราะโดยปกติแล้วบริษัทประกันแต่ละแห่งจะมีข้อจำกัดที่กลุ่มคนที่มีเงื่อนไขหรือลักษณะบางอย่างที่บริษัทประกันมีสิทธิ “ปฏิเสธไม่รับประกัน” ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของอายุผู้เอาประกันขั้นต่ำและสูงสุด เรื่องของเงื่อนไขสุขภาพต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง หรือแม้แต่การปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยที่บริษัทประกันพิจารณาจากอายุผู้เอาประกันภัย และประวัติการเรียกร้องสินไหมทดแทน รวมไปถึง 1 คนสามารถทำประกันได้จำนวนกี่ฉบับ สามารถเปลี่ยนแผนระหว่างปีกรมธรรม์ได้หรือไม่ โรงพยาบาลเครือข่ายมีที่ใดบ้าง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่เมื่อพ่อแม่ต้องการจะซื้อประกันให้ลูก ต้องศึกษารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำประกัน
เมื่อลูกคือหัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ดังนั้นคงไม่มีพ่อแม่คนที่ไหนที่อยากเห็นลูกเจ็บป่วย แต่เราต้องไม่ลืมว่าการเจ็บป่วยบางครั้งก็เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้อยากให้เกิด เพราะโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่มีวิวัฒนาการเร็วและมีความทนทานต่อการถูกกำจัดมากขึ้น ประกอบกับถ้าลูกของคุณอายุยังน้อยเขาก็มีความเสี่ยงที่จะเจอกับอาการเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรามีประกันสุขภาพสักฉบับไว้เพื่อเขา นอกจากจะทำให้ลูกถึงมือหมอที่เชี่ยวชาญ ได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและรวดเร็ว โอกาสที่จะหายป่วยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น
กรุงไทยเข้าใจความห่วงใยที่พ่อแม่มีให้กับลูก เราจึงขอแนะนำ กรุงไทย สุขภาพสุขใจ ประกันสุขภาพที่คุ้มครองครอบคลุม ด้วยเบี้ยประกันที่คุ้มค่าทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) เบี้ยประกันคุ้มค่า คุ้มครองแบบเหมาจ่าย ทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการทั่วไป คุณไม่ต้องสำรองจ่ายเพียงมีบัตรประกันสุขภาพ (Care Card) ก็อุ่นใจได้ทุกเวลา นึกถึงคนที่ห่วงใย ให้กรุงไทยช่วยดูแลติดตามบทความดี ๆ พร้อมสาระน่ารู้เกี่ยวกับการเงินได้ที่ www.krungthai.com