ภาคเกษตรไทย กับความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ (Climate Risk)
สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตภาคเกษตรทั่วโลกอยู่ที่ราวปีละ 21,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7 แสนล้านบาท) และคาดว่าในปี 2030 ความเสียหายในภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ปีละ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก ทำให้ปัจจัยความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ หรือ climate risk มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจคือ ในระยะข้างหน้า ปัญหา climate risk จะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยในมิติใดบ้าง ? ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นรอบล่าสุดนี้จะสร้างความเสียหายแค่ไหน รวมถึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจะรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวอย่างไร ?
climate risk จะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยใน 2 มิติหลัก คือ
- ความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพ (physical risk) เช่น การเกิดภัยแล้งหรืออุทกภัยที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และ
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ (transition risk) เช่น ความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยในตลาดส่งออก จากปริมาณผลผลิตลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ รวมถึง การเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของคู่ค้า พัฒนาการของเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
ความเสี่ยงเชิง physical risk จากปรากฏการณ์เอลนีโญในรอบนี้ Krungthai COMPASS คาดว่าจะทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหายราว 5.3 หมื่นล้านบาท โดยข้าวจะได้รับความเสียหายมากที่สุดราว 2.8 หมื่นล้านบาท รองลงมา คือ อ้อยได้รับความเสียหายราว 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนมันสำปะหลังได้รับความเสียหายประมาณ 8 พันล้านบาท
เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 จะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้ในการเพาะปลูก โดยเฉพาะในภาคกลางซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ อีกทั้งข้าวเป็นพืชที่ทนแล้งได้น้อยกว่าอ้อยและมันสำปะหลัง ทำให้จะได้รับความเสียหายมากกว่า
โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดมากในช่วงปลายปี 2566 รวมทั้งกระทบกับผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อย และมันสำปะหลังที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนความเสี่ยงเชิง transition risk ซึ่งอยู่ในรูปแบบของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่จะมีความเข้มงวดขึ้น จะเป็นอีกอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าของไทย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐ (US) ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น เช่น นโยบาย Farm to Fork ของ EU ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุโรปสีเขียว (European Green Deal) ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผู้บริโภค โดยตั้งเป้าว่าจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้อากาศแปรปรวน ให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 เป็นต้น
สำหรับผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตของภาคเกษตร เช่น กลุ่มธุรกิจเกษตรแปรรูป ในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการวัตถุดิบ เพื่อรับมือกับความผันผวนของต้นทุนสินค้าเกษตร เช่น การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับเกษตรกร ก็จะช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุน ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้อาจร่วมมือกับเกษตรกรในการประยุกต์ใช้ climate tech เพื่อช่วยบริหารจัดการและติดตามข้อมูลสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ อีกทั้งควรศึกษาและติดตามกฎระเบียบการค้า เนื่องจากกฎระเบียบการค้าด้านสิ่งแวดล้อมมีการยกระดับอยู่เสมอและมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น
ส่วนกลุ่มเกษตรกร ควรประยุกต์ใช้ความรู้ด้านการเพาะปลูกสมัยใหม่ที่พึ่งพาการใช้ทรัพยากรน้ำน้อยกว่าเดิม เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง ที่ช่วยลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกได้ถึง 15% อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนพลังงานในการสูบน้ำเข้าแปลงนาข้าว และยังมีส่วนช่วยให้ต้นข้าวมีประสิทธิภาพต้านทานต่อโรคและแมลงมากขึ้น นอกจากนั้นยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการเพาะปลูกข้าวอีกด้วย
นอกจากนี้ควรปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดต้นทุน เช่น การวิเคราะห์ดินเพื่อให้ใช้ปุ๋ยได้ตรงกับลักษณะดิน ทำสามารถให้ลดอัตราการใช้ปุ๋ยได้ถึง 50-60 กิโลกรัม/ไร่ รวมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการเพาะปลูก
ธนาคารกรุงไทย สนับสนุนธุรกิจ SME ปรับตัวรับเทรนด์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย “สินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน (ESG)” ครอบคลุมการลงทุน ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อลดการใช้พลังงาน ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวงเงินสูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุน ผ่อนนาน 10 ปี
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
- วงเงินกู้สูงสุด 2 เท่าของมูลค่าหลักประกัน
- ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี
- อัตราดอกเบี้ยพิเศษ*
คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ*
- ผู้ประกอบการ SME
- มีประสบการณ์หรือดำเนินธุรกิจตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป
- ผ่านการตรวจสอบเครดิตบูโร ไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์ในรอบ 3 ปีล่าสุด
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
ผู้เขียน : กฤชนนท์ จินดาวงศ์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS
#เคล็ดลับธุรกิจ #Climate Risk #ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ #กรุงไทยSME #ติดปีกให้ธุรกิจคุณ #สินเชื่อกรุงไทยเพื่อความยั่งยืน #ESG
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ คลิก