เรียนรู้การเงิน

มองโอกาสใหม่ของ SME ไทย สู่ซาอุดิอาระเบีย

อัปเดตวันที่ 29 ส.ค. 2566

มองโอกาสใหม่ของ SME ไทย สู่ซาอุดิอาระเบีย

ซาอุดิอาระเบียถือเป็นตลาดที่กำลังได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ รวมถึงกับไทยซึ่งสัมพันธภาพของทั้งสองชาติได้ถูกยกระดับไปสู่ความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ปัจจัยดังกล่าวยังเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดการส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดซาอุฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวซาอุฯ เข้าไทยได้กลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้ประกอบการกลุ่ม SME และนักลงทุนอาจใช้โอกาสนี้ในการเจาะตลาดและขยายธุรกิจสู่ตลาดซาอุฯ มากยิ่งขึ้น

ศักยภาพของชาติผู้นำโลกอาหรับแห่งนี้เป็นที่จับตา ด้วยความมุ่งมั่นตามวิสัยทัศน์ “Saudi Vision 2030” ซึ่งวางแผนปั้นมูลค่า GDP ของประเทศให้เพิ่มเป็นสองเท่าในเวลาเพียง 15 ปี (จากตอนเริ่มนโยบายนี้เมื่อปี 2559) เพื่อผลักดันให้ซาอุฯ ติดอันดับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ของโลกในปี 2573 โดยจะสามารถโค่นสเปนที่ครองตำแหน่งดังกล่าวลง การปฏิรูปตามแผนนี้จะก่อให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของซาอุฯ โดยวางเป้าจะเพิ่มบทบาทภาคเศรษฐกิจที่ไม่ใช่น้ำมันให้มีสัดส่วนถึง 69% ของ GDP ในปี 2573 จากเดิมเคยต้องพึ่งพาน้ำมันถึง 50% เมื่อก่อนเริ่มแผนในปี 2555 ระบบเศรษฐกิจซาอุฯ จึงกำลังปรับเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่อิงกับตลาด เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนขนาดกลางและเล็กหรือ SMEs เข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากขณะนี้มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 4 ซึ่งคาดว่า SMEs จะครองพื้นที่ธุรกิจได้ประมาณ 35% ของ GDP ภายในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ประกอบการรายย่อยของไทยจะสามารถเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่คู่ค้าในดินแดนตะวันออกกลาง หรือใช้เป็นฮับต่อไปยังเอเชียกลาง แอฟริกา และยุโรปตอนใต้อีกด้วย

สินค้าไทยมีลู่ทางที่จะเติบโตต่อไปได้อีกมาก ไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกป้อนตลาดซาอุฯ ที่มีความสำคัญลำดับที่ 15 และถือเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับชาติ ASEAN-5 ด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเลือกสินค้าที่เหมาะสมในการขยายตลาด หรือออกผลิตภัณฑ์สำหรับเจาะตลาดประเทศผู้นำตะวันออกกลางแห่งนี้ Krungthai COMPASS ได้วิเคราะห์ถึงสินค้าดาวรุ่งที่มีศักยภาพการเติบโตสูง (Rising Star) โดยประเมินจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ แนวโน้มความต้องการที่คาดว่าจะเติบโตได้ดี มีความได้เปรียบคู่แข่ง โอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และเป็นสินค้าที่สอดรับกับ Megatrend ซาอุฯ เช่น เทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้เงื่อนไขข้างต้นนั้น พบว่ามีสินค้าที่เข้าเกณฑ์เป็นดาวรุ่งที่จะขอแนะนำ ได้แก่ สินค้าในกลุ่มเกษตรและอาหาร เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผักและผลไม้กระป๋องและแปรรูป เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรส ไก่ และอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เหล็ก และปูนซีเมนต์ กลุ่มเครื่องสำอาง รวมถึงกลุ่มรถยนต์ตลอดจนอุปกรณ์และชิ้นส่วนยานยนต์

มองต่อไปข้างหน้าจนถึงปี 2573 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผน Saudi Vision 2030 นั้น Krungthai COMPASS ประมาณว่า การส่งออกไทยไปยังตลาดซาอุฯ จะแตะระดับ 1.2 แสนล้านบาท หรือเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากช่วงก่อนการแพร่ระบาด หากผู้ประกอบ SME ทำความเข้าใจมาตรการทางกฎหมายและข้อควรปฏิบัติที่สอดคล้องกับสังคมซาอุฯ ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก และวิเคราะห์ทิศทางของตลาดได้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซาอุฯ จะเป็นเส้นทางใหม่สำหรับธุรกิจไทยในการขยายธุรกิจสู่ประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตต่อไป ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศหลัก ทั้งยังเป็นหนทางในการขยายตลาดออกไปสู่ภูมิภาคอาหรับอีกด้วย

โดย ดร.ฉมาดนัย มากนวล Krungthai COMPASS | บทวิเคราะห์นี้เป็นความคิดเห็นของผู้เขียนซึ่งธนาคารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย

#เคล็ดลับธุรกิจ #โอกาสSMEไทยในต่างประเทศ #ซาอุดิอาระเบีย #กรุงไทยSME #ติดปีกให้ธุรกิจคุณ


อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม “ส่องโอกาสของธุรกิจไทย กับซาอุดิอาระเบีย” จากศูนย์วิจัย Krungthai Compass...คลิก
รู้เรื่องเศรษฐกิจแบบเจาะลึกจากกูรูตัวจริง กับบทวิเคราะห์อื่นๆ จาก Krungthai Compass...คลิก