กองทุน SSF คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ได้ทั้งกำไรและลดหย่อนภาษี
หากคุณคือคนทำงาน เป็นมนุษย์เงินเดือนที่รายได้ถูกหักภาษี คงต้องเคยได้ยินชื่อกองทุนรวม เพื่อการออม (SSF) มาบ้าง เพราะเป็นหนึ่งในวิธีลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการยกเลิกกองทุน LTF ไปเมื่อปีพ.ศ. 2562 และกองทุน SSF เข้ามาแทนจนกลายเป็นหนึ่งในการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ได้รับความนิยมสูง แต่ถ้าใครยังไม่รู้จักกองทุน SSF กรุงไทยมีข้อมูลดี ๆ มาบอก รับรองว่าจะช่วยให้เพื่อน ๆ ลงทุนได้อย่างมั่นใจ และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
กองทุน SSF คืออะไร
กองทุน SSF คือ กองทุนรวมเพื่อการออม ย่อมาจาก Super Saving Funds เป็นกองทุนที่รัฐบาลอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับประชาชน และยังให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย โดยเราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน SSF ได้ระหว่างปีพ.ศ. 2563 – 2567 สำหรับหลังจากนี้อาจต้องรอภาครัฐกำหนดอีกครั้งว่าสิทธิลดหย่อนภาษีของกองทุน SSF จะเป็นอย่างไร
กองทุน SSF ลงทุนในสินทรัพย์แบบใด
การลงทุน กองทุน SSF ลดหย่อนภาษี สามารถเลือกลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ หรือจะเลือกกองทุนผสม ที่มีนโยบาลการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ก็ได้
นโยบายการลงทุนที่หลากหลายของ SSF ถือเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าการลงทุนในกองทุน LTF แบบเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยเท่านั้น
เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ด้านการลดหย่อนภาษีของกองทุน SSF
- กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้โดยไม่กำหนดขั้นต่ำ แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท (สิทธิเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ได้แก่ กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ)
-
ข้อควรระวัง:
ไม่ควรซื้อกองทุน SSF เกินสิทธิลดหย่อนภาษี เพราะเมื่อขายคืนหน่วยลงทุน จะต้องนำกำไรไปรวมเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา - การซื้อกองทุน SSF เพื่อสิทธิลดหย่อนภาษี ต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบ 10 ปีแบบวันชนวัน นับตั้งแต่วันที่ซื้อหรือจนกว่าจะเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่อง เช่น หากซื้อกองทุน SSF เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2563 จะครบกำหนดวันที่ 1 ม.ค. 2573 และขายได้โดยไม่ผิดเงื่อนไขในวันที่ 2 ม.ค. 2573
- ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน SSF ได้ระหว่างปีพ.ศ. 2563 – 2567 หลังจากนี้ต้องรอประกาศนโยบายของภาครัฐอีกครั้ง
ตัวอย่างการคำนวณสิทธิลดหย่อนภาษี SSF ตัวอย่างที่ 1
ถ้ามีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี 500,000 บาท แม้ว่าจะซื้อกองทุน SSF 200,000 บาท แต่สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริง 150,000 บาทเท่านั้น มิฉะนั้นจะผิดเงื่อนไข เพราะเกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
ตัวอย่างการคำนวณสิทธิลดหย่อนภาษี SSF ตัวอย่างที่ 2
ถ้ามีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี 1,000,000 บาท แล้วซื้อกองทุน SSF 400,000 บาท จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริง 200,000 บาทเท่านั้น และผิดเงื่อนไขเช่นกัน
ตัวอย่างการคำนวณสิทธิลดหย่อนภาษี SSF ตัวอย่างที่ 3
ถ้ามีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี 4,000,000 บาท จ่ายเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 400,000 บาท และซื้อกองทุน SSF อีก 200,000 บาท แม้ว่าจะยังไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ใช้สิทธิลดหย่อนจากกองทุน SSF ได้เพียง 100,000 บาทเท่านั้น เพราะเมื่อรวมกับเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะติดเพดานลดหย่อน 500,000 บาทนั่นเอง
ความแตกต่างระหว่างกองทุน SSF และ RMF
กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund) หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นอีกกองทุนลดหย่อนภาษีที่เราน่าจะคุ้นหู้เป็นอย่างดี เราสามารถลงทุนทั้ง SSF และ RMF เพื่อลดหย่อนภาษีให้เต็มสิทธิ แต่ควรต้องศึกษาเงื่อนการลงทุนของทั้งสองกองทุนนี้ให้เข้าใจ เพื่อจะได้จัดสรรเงินลงทุนได้เหมาะสม โดยสามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้จากตารางต่อไปนี้
เงื่อนไข | SSF | RMF |
นโยบายการลงทุน | ลงทุนได้ทุกประเภทสินทรัพย์ | ลงทุนได้ทุกประเภทสินทรัพย์ |
สิทธิลดหย่อนภาษี | 30%ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับสิทธิเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท | 30% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับสิทธิเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ จะต้องไม่เกิน 500,000 บาท |
ขายได้เมื่อไร | 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ นับแบบวันชนวัน | อายุครบ 55 ปี ลงทุนครบ 5 ปี นับแบบวันชนวัน |
จำนวนหน่วยลงทุนขั้นต่ำ | ไม่มีขั้นต่ำ | ไม่มีขั้นต่ำ |
ความต่อเนื่องการลงทุน | ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง | ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี |
วิธีเลือกกองทุน SSF
การเลือก กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีมีเทคนิคเบื้องต้นดังนี้
พิจารณาจากระยะเวลาในการลงทุน
อย่างที่บอกว่ากองทุน SSF เมื่อลงทุนแล้วจะต้องถือครองนาน 10 ปีแบบวันชนวันนับจากวันที่ซื้อ ส่วน RMF จะลงทุน 5 ปีนับจากวันซื้อครั้งแรก และขายคืนได้หลังอายุ 55 ปี ดังนั้นหากต้องการออมเงินระยะยาว แนะนำให้พิจารณาลงทุนใน SSF แต่หากอยากสะสมเงินสำหรับเกษียณ RMF ก็ตอบโจทย์มากกว่า ยกเว้นหากคุณอายุเกิน 50 ปี การลงทุนใน RMF ก็จะมีระยะเวลาถือครองที่สั้นกว่า SSF คือจะขายคืนได้ในระยะเวลาเพียง 5 ปี หากลงทุนต่อเนื่องทุกปี
พิจารณาความเสี่ยง และเลือกนโยบายการลงทุนที่ตอบโจทย์
แม้ว่ากองทุน SSF สามารถลงทุนได้ทุกประเภทสินทรัพย์ แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน จำเป็นต้องพิจารณาสินทรัพย์ที่เลือกลงทุนให้ดี เช่น หากไม่พร้อมรับความเสี่ยงหรือโอกาสขาดทุน แนะนำให้เลือกกองทุน SSF ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ หรือหากพร้อมรับความเสี่ยง เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุน SSF ที่เน้นหุ้น หรือสินทรัพย์ทางเลือกได้ ทั้งนี้ นักลงทุนต้องทำความเข้าใจนโยบายการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
พิจารณาผลการดำเนินงานและค่าธรรมเนียมกองทุน SSF
แน่นอนว่าในการเลือกกองทุน SSF ลดหย่อนภาษี เราต้องมองหากองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดี แต่อย่าลืมว่ากองทุน SSF ส่วนมากจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือ Management Fee และค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน หรือ Back end Fee รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เรียกเก็บผ่านกองทุน
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่ต้องคำนึงอีกอย่างก็คือ การปรับพอร์ตการลงทุน SSF ตามสถานการณ์ เช่น หากลงทุนในช่วงใกล้เกษียณ ไม่พร้อมรับโอกาสขาดทุน ให้พิจารณาปรับพอร์ต SSF ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ หรืออาจพิจารณากระจายความเสี่ยงของพอร์ต ให้ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภทก็ได้
เลือกกองทุน SSF แบบมีปันผล หรือไม่มีปันผล?
คำถามสำคัญที่หลายคนมักตั้งคำถาม ว่าจะเลือกกองทุน SSF แบบที่มีปันผล หรือไม่มีปันผล ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าเงินปันผลจากการลงทุนจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย ดังนั้นการเลือกกองทุน SSF ที่ไม่มีปันผลเราก็จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่กองทุน SSF จะต้องถือครองนานถึง 10 ปี การได้เงินปันผลก็เท่ากับว่าได้ผลกำไรส่วนหนึ่งแบ่งออกมาก่อนนั่นเอง
SSF กองทุนไหนดี?
สำหรับคนที่เล็งเห็นโอกาสทำกำไรในหุ้นไทย และต้องการกองทุนรวมหุ้นไทยที่คัดสรรหุ้นคุณภาพอัดแน่นเต็มพอร์ต ขอแนะนำ 2 กองทุนมาแรง ดังนี้
1.กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการออม (ชนิดเพื่อการออม) (KTESGS-SSF)
จุดเด่น: กองทุนรวมดัชนีที่เน้นสร้างผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมให้ใกล้เคียงกับดัชนีผลตอบแทนรวมอีเอสจี ไทยพัฒน์ (Thaipat ESG Index (TR)) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นของบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)
เหมาะสำหรับ: คนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของหุ้นไทย และเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ของธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก สามารถยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นได้ และต้องการลงทุนในระยะกลางถึงยาว
ระดับความเสี่ยง: 6 เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง
2. กองทุนเปิดกรุงไทย 70/30 เพื่อการออม (ชนิดเพื่อการออม) (KT70/30S-SSF)
จุดเด่น: เป็นกองทุนรวมผสม เน้นลงทุนในหุ้นไทย 70% โดยคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสทำกำไร และหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าการลงทุนตามดัชนี
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย ที่เน้นการบริหารเชิงรุก (Active Management) และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนตามดัชนี สามารถยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นได้ และต้องการลงทุนในระยะกลางถึงยาว
ระดับความเสี่ยง: 5 เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง
การซื้อกองทุน SSF ลดหย่อนภาษี เพื่อผลตอบแทนระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงและข้อควรระวังอยู่บ้าง แต่ก็เป็นช่องทางลงทุนที่เป็นประโยชน์กับเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างมาก และหากศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ ก็จะช่วยให้เราเริ่มต้นลงทุนอย่างมั่นใจ ได้ทั้งกำไรและลดหย่อนภาษีอย่างแน่นอน